ใครชอบว่าคนอื่น ออกจากกลุ่มเราไปเลย ต้องจับมาปรับทัศนคติกันหน่อยนะ 😅
“แม่ชม นมเหี่ยว”
ต่อให้ดีแค่ไหน ก็หนีไม่พ้นสังคมแห่งการ bully
“อยากให้คนมองเพชร เราเคลียร์พื้นที่ให้เพชร ก็ไม่รู้สิแต่ถ้าเราไม่มั่นใจ...เราก็คงไม่ทำ”
written by Thanabatra Beboyl Chaidarnn
page owner: ตุ๊ดส์review / Pussy can talk
โห...ระดับชมพู่ ยังไม่รอดจากสังคมแห่งการด่าทอของคนไทย
ล่าสุด ชมพู่ อารยา ได้เป็น Brand Ambassador ให้กับเครื่องประดับสุดหรู “Chopard” ร่วมงานใน Chopard’s exclusive dinner แต่ปรากฏว่าคนจับจ้องที่การเปลือยอก จนเพจใต้เตียงดารา เมาท์ถึงผู้คน ที่ไปคอมเมนต์ถึงชมพู่ว่า “หน้าอกหย่อนคล้อย”
ที่เห็นตรงหน้า นี่มันสวยทั้งเต้า ทั้งเพชรต่างหาก
ผมอยากพูดถึงประเด็นนี้ ก็เพราะว่า ผู้หญิงที่แต่งงานมีสามีแล้ว ในวัย 38 ปี อีกนิดจะ 40 ที่มีลูกแฝดสอง ดูแลตนเองได้ขนาดนี้ คือคนที่ควรถูกชื่นชมในสังคมบ้านเรา และควรจะชื่นชมเธอที่กล้าจะแต่งตัวเปลือยอกอย่างมั่นใจ ไร้กังวล แสดงถึงความเป็นผู้มีความเคารพตนเอง และภูมิใจในเรือนร่างของตัวเอง (High Self-Esteem) ซึ่งไม่ใช่สาวๆทุกคน จะกล้าทำแบบเธอเสียด้วยซ้ำ
และเชื่อเถอะว่า ต่อให้หน้าอกชมพู่ไม่ออกมาทรงนี้ แต่ทรงสวยแน่น นมชิด กลมป๊อก คนก็จะไป Bully อีกแบบว่าเธอทำนมมา แต่เท่าที่เราเห็นกัน เธอควรภูมิใจจริงๆ กับของธรรมชาติที่ดูแลตนเองได้ในวัยเกือบ 40 กะรัตแล้ว แต่ยังกระแสแรงมีงาน แบบไม่มีตกเลยแม้ลูก 2
📍 คนที่เหยียดคนอื่น คือคนที่ขาดความภูมิใจในชีวิตตัวเอง
สังคมบ้านเราเป็นสังคม Bullying ของจริงแหละ คนไม่แข็งแรง มันอยู่ไม่ได้ เพราะคนเราไม่ได้คิดก่อนพูด หรือใส่ใจคำพูดที่เราส่งต่อคนอื่นๆ ไม่ได้สนใจความรู้สึกของคนอื่นเขาว่าจะรู้สึก ต่อคำพูดเหล่านั้นอย่างไร
พวกคำที่ใช้ในการเหยียดรูปร่าง ไม่มีทางหมดไปจากสังคมไทยได้ ไม่ว่าจะสีผิว ความอ้วนผอม ผมบนหนังศีรษะ สังคมบ้านเรายังคงเหยียดคนได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า ออกมาเป็น อีอ้วน ดำ เตี้ย หัวล้าน ขาเป๋ ฯลฯ
จากมุมมองทางจิตวิทยา ตามกลไกการป้องกันตนเอง (Self-Defense Mechanism) ได้สื่อสารถึงเรื่องนี้ว่า
“คนที่ชอบเหยียดรูปร่างของผู้อื่น คือ คนที่มีปัญหาในชีวิต ที่ไม่ภูมิใจในรูปร่างของตนเอง จึงทำให้พยายามกลบปมด้อยตนเอง หรือลดคุณค่าของคนอื่น ด้วยการมองว่าสิ่งอื่นมันผิด มันไม่ดี เพื่อปกป้องตัวเอง ให้ตัวเองรู้สึกดูดีขึ้น หรือสูงค่ามากขึ้น”
📍 ชีวิตเป็นของเรา ร่างกายเป็นของเรา ความสุขเป็นของเรา
เราห้ามคำพูดเลวๆของคนอื่นคงไม่ได้ แต่เราปรับเปลี่ยนวิธีคิด และแสดงออกอย่างแข็งแรง ด้วยความภาคภูมิใจที่มีต่อตนเองได้เสมอ และนั่นคือคำตอบของแม่ชม ที่มีต่อการเปิดหน้าอก ที่สะท้อนว่า เธอไม่ได้แคร์เสียงเหล่านั้นเลย เธอมีความสุขดี และภูมิใจในสิ่งที่เธอได้ทำ
เราคงห้ามคนอื่นไม่ได้ แต่จงเชื่อเถอะว่า ร่างกายนี้เป็นของเรา ชีวิตนี้เป็นของเรา คนอื่นไม่เคารพชีวิตเรา เราคงเสียเวลากับการใส่ใจคำของเขาไปก็คงไม่มีประโยชน์ ไปใช้ชีวิตของเราที่มีความสุข กับร่างกายที่เราภาคภูมิใจ และพัฒนาบุคลิกภาพ และการนำเสนอตัวตนของเราให้ดูดีจะดีกว่า
“เขาไม่ได้สูงขึ้น เพราะเขากดคนอื่นให้ต่ำลง”
📍 ปล่อยเขาแบก แต่เราเบาสบาย
สำหรับชมพู่เอง นมก็นมของเขา ชีวิตก็ชีวิตเขา ต่อให้แหวกถึงสะดือ ถ้าเขามั่นใจ ภูมิใจในรูปร่าง และมีความสุข มันก็คือชีวิตของเขา
เช่นกันกับนมของเรา ชีวิตของเรา ร่างกายของเรา…เขามาเผือกเรื่องของเรา นั่นเป็นเรื่องของเขาล้วนๆที่ไม่รู้จักเคารพความเป็นมนุษย์ และ “พื้นที่ส่วนตัว” ของคนอื่น อย่าปล่อยให้คำพูดของคนเหล่านี้ ที่ใช้สมองคิดไม่เยอะพอ มาทำร้ายทำลายความมั่นใจ และความภูมิใจในชีวิตของคุณ
ถ้าใครบางคนอยากเผือก ก็เรื่องของเรา มายุ่งเอง เข้ามาแบกไว้เอง เมื่อเราไม่หนัก เราไม่แบก ปล่อยคนพวกนั้น แบกนม แบกสีผิว แบกรูปร่างของชาวบ้านไป
ส่วนชีวิตเรา…เราไปต่อ
นมคุณ ชีวิตคุณ…คุณใช้ซะ
#ตุ๊ดส์review
#StopSocialBullying
// ขนาดแม่ชมยังไม่รอด…แน่นอนว่า ชีวิตพวกเรา คงต้อง Strong กันต่อไปครับ กว่าสังคมไทยจะหลุดพ้น
"mom chom withered milk"
No matter how good it is, I can't escape the society of bully.
" I want people to look at diamonds. I don't know if I'm clear the area for diamonds. But if I'm not confident... I will
written by @[1228486403:2048:Thanabatra Beboyl Chaidarnn]
page owner: @[332977620507759:274:ตุ๊ดส์review] / @[205184872969590:274:Pussy can talk]
Oh... Chompoo level has not survived the society of cursing of Thai people.
Recently, CHOMPOO ARAYA HAS BECOME BRAND AMBASSADOR FOR LUXURY JEWELRY "Chopard" to work in Chopard's exclusive dinner, but it turns out that the catches the topless page under the bed. Star Mount to people who go to comment. Even though chompoo says "Flabby breasts"
What I see in front of me is beautiful. Both Diamonds and diamonds.
I want to talk about this issue because a married woman has a husband at the age of 38 years old. It will be 40 who has two twins can take care of herself like this is the one who should be admired in our home society and should appreciate her who dares to Dress Topless, carefree, self-respect and proud of their own body (High Self-esteem), not all girls will even dare to do her way.
And believe me, even if chompoo breasts don't come out this style, but it's beautiful, tight. Pok Milk will go to bully. It's like that you have made milk. But as far as far as we can see, you should be really proud of nature that you can Almost 40 Karat, but it's still strong. I have a job without falling. Even my kid. Haha.
📍 someone who is racist is the one who lacks pride in their life.
Our home society is a bullying society. It's real. People are not strong. They can't live because people don't think before speaking or care about the words that we pass on. Others don't care about other people's feelings. How to feel about those
Those who are used to be racist can never run out of Thai society. No matter the skin color, obesity, hair on the scalp. Our society can still be racist from head to toe to toe. Black, short, bald, legs, etc.
From a psychological perspective, according to self-Defense Mechanism (Self-defense mechanism) communicates this.
" a person who likes to racist other people are people who have problems in life who are not proud of their own shape, so they try to remove their inferiority or reduce other people's value by seeing that other people are wrong. It's not good to protect themselves to protect themselves to feel better or high More value "
📍 life is ours. The body is ours. Happiness is ours.
We can't stop other people's bad words, but we can always change the way of thinking and acting strong with pride of ourselves. and that's the answer to the chest opening that reflects that she doesn't care about those voices. She is happy and proud of what she has done.
We can't stop others, but believe that this body is ours. This life is ours. Others don't respect our lives. We will waste our time caring about his word. It's useless. Live our lives that are happy with the body that we are proud of and develop personality. And it's better to present our identity.
" he is not higher because he presses others down
📍 let him carry but I'm light and comfortable.
For Chompoo, his breast milk, life is his life. Even if he is unconventional. If he is confident, proud of shape and happy, it's his life.
Same with our boobs, our lives, our bodies... they come to taro our business. That's all about him who don't know how to respect humanity and "Personal Space" of others. Don't let the words of these people who use their brain think much enough to hurt. Destroy your confidence and pride in life
If someone wants to be taro, it's our business. Come to carry it. When we are not heavy, we don't carry them. Let them carry milk and carry skin color. Carry other people's shape.
As for our lives... we keep going.
Your boobs, your life... you use it.
#ตุ๊ดส์review
#StopSocialBullying
// even mother can't survive... of course, our lives will continue to be strong until Thai society is free.Translated
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過3萬的網紅Breast milk.โค๊ชนมแม่,也在其Youtube影片中提到,เนื่องจากแม่เบ็นซ์ปั้มนมและระบายนมมาเรื่อยๆ ทำให้ร่างกายผลิตน้ำนมต่อเนื่องรวมทั้งการเลือกทานวิทตามินเสริม คือ วิทแมม ทำให้ร่างกายผลิต นมคัดไว ส่งผลใ...
breast milk คือ 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的最佳解答
"ดื่มนมวัว แล้วเป็นโรค ... จริงเหรอ ?" (ยาวมากๆ)
เรื่องนี้คนถามกันมาเยอะมาก ที่คุณหมอท่านหนึ่งทำวิดีโอคลิป สรุปความได้ว่า นมวัวนั้นไม่ดี มีคนป่วยเป็นโรคแพ้นมวัวมาหาคุณหมอกันมา และเริ่มมีอาการป่วยตั้งแต่อายุน้อยๆ ด้วย จึงควรจะหลักเลี่ยงการกินนมไปเลย ... คนก็สงสัยกันเยอะมากว่าจริงเหรอ เพราะเราก็ส่งเสริมให้กินนมกันมาตั้งแต่เด็กๆ นี่น่า โดยเฉพาะของการเป็นแหล่งโปรตีน ไขมัน และแคลเซี่ยมต่อร่างกายด้วย แล้วความเป็นจริงนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ ... สำหรับผมนั้น ผมว่าคุณหมอเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่นะครับ และนมยังเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพสำหรับคนไทย โดยเฉพาะเด็กครับ โดยขอแย้งแบบวิชาการ ดังต่อไปนี้นะ
1. เหมือนคุณหมอจะสับสนระหว่าง "ภาวะไม่ทนต่อแล็กโทส (ในนม)" กับ "การแพ้โปรตีนนมวัว"
ในคลิปบรรยายนั้น คุณหมอระบุผลเสียของการดื่มนมวัวมาเยอะมาก โดยเฉพาะในเรื่องของอาการร้ายแรงหลายอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากดื่มนมวัว แล้วอธิบายว่าเป็นเพราะคนไทยนั้นย่อยน้ำตาลแล็กโทสไม่ได้ จึงมีอาการเช่นนั้น ... ประเด็นปัญหาคือ อาการร้ายแรงที่คุณหมอยกมานั้น ส่วนมากจะเป็นอาการของคนที่ "แพ้โปรตีนนมวัว (cow's milk protein allergy)" ไม่ใช่อาการของ "ภาวะไม่ทนต่อแล็กโทส (lactose intolerance)"
การแพ้นมวัว ป็นการแพ้สารโปรตีนบางอย่างในนมวัว (ไม่ใช่ต่อน้ำตาลแล็กโทส) ทำให้ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ผิดไปจากปกติ ระบบภูมิคุ้มกันสร้างภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนนั้นขึ้นอย่างมาก เกิดปฏิกิริยาต่อต้านขึ้นในร่างกาย โดยคนที่แพ้นมวัวแต่ละคนจะมีอาการแตกต่างกันไป ตั้งแต่แพ้เล็กน้อยไปถึงขั้นแพ้รุนแรง เช่น เกิดผื่นคัน ลมพิษ คัดจมูก หอบหืด ท้องอืด เรอ ท้องเสีย ไปจนถึงหายใจขัด ซึ่งบางรายอาจแพ้รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
ส่วนคนที่มีภาวะไม่ทนต่อแล็กโทส หรือเรียกอีกอย่างว่า มีภาวะพร่องเอนไซม์แล็กเทส นั้น จะเกิดจากการที่ร่างกายขาดเอนไซม์ที่มีชื่อว่า "แล็กเทส (lactase)" ที่สร้างโดยเยื่อบุลำไส้เล็ก ทำหน้าที่ในการย่อยน้ำตาลแล็กโทส ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของน้ำนมทั้งนมแม่ นมวัว และนมแพะ (สังเกตว่า นมแม่ ก็มีน้ำตาลแล็กโทสนะ) ดังนั้น คนที่มีภาวะไม่ทนต่อแล็กโทสนี้ จึงไม่ได้มีอันตรายร้ายแรงอะไรถ้าได้ดื่มนมเข้าไป (จะนมวัวหรือนมคนก็เถอะ) หากรู้จักหลักปฏิบัติที่ถูกต้อง อาการต่างๆ ก็มักจะหายได้ และบางคนก็อาจหันมาดื่มนมได้อีก โดยอาการส่วนใหญ่นั้นจะเป็นอาการที่ตอบสนองของระบบทางเดินอาหารหลังจากดื่มนมหรือกินผลิตภัณฑ์จากนมได้ไม่นาน เช่น ท้องอืด เรอ ผายลม ท้องเสีย เพราะน้ำตาลแล็กโทสที่ไม่ถูกย่อยนั้นจะเกิดการหมักขึ้นจากแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้มีแก๊สต่างๆ เกิดขึ้นในท้อง (ความรุนแรงขึ้นกับปริมาณของนมที่ดื่มเข้าไป และขึ้นกับระดับของภาวะพร่องเอนไซม์แล็กเทส) แต่ไม่ได้จะมีอาการผื่นคัน ลมพิษ คัดจมูก หอบหืด หรือหายใจขัด ซึ้่งเป็นอาการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน
2. ภาวะไม่ทนต่อแล็กโทสนั้น คนไทยส่วนใหญ่เป็นกันมาตั้งแต่กำเนิด จริงเหรอ
ภาวะไม่ทนต่อแล็กโทสนั้น มีเพียงส่วนน้อยที่เกิดจากภาวะพร่องเอนไซม์โดยกำเนิด และทำให้เกิดปัญหาในการดื่มนมแม่ นมวัว ตั้งแต่ยังเป็นทารก แต่คนส่วนใหญ่นั้น ภาวะพร่องเอนไซม์แล็กเทสจะเกิดขึ้นตอนอายุมากขึ้นอันเนื่องจากการที่เราเลิกดื่มนม (แม่) โดยร่างกายเริ่มผลิตเอนไซม์แล็กเทสลดลงเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เพราะว่าไม่ค่อยได้กินผลิตภัณฑ์ที่มาจากนม พอมากินอีกทีจึงมีภาวะท้องอืด ปวดท้อง หรือท้องเสีย
การพร่องเอนไซม์ย่อยนมนั้น เป็นสภาวะปกติของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ที่สรีระของลูกอ่อนนั้นจะผลิตเอนไซม์แล็กเทสลดลงในช่วงปลายของระยะหย่านม ตามธรรมชาติ สำหรับมนุษย์นั้น อัตราการผลิตเอนไซม์แล็กเทสจะขึ้นกับวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่แต่ละสังคมด้วย เช่น ในยุโรปเหนือ ความถี่ของการลดการผลิตเอนไซม์แล็กเทสจะมีเพียง 5% ขณะที่ในซิซิลี (อิตาลี) จะมีถึง 71% และมากกว่า 90% ในช่วงสี่ปีแรกของชีวิตในบางประเทศทวีปแอฟริกาและเอเชียที่ไม่บริโภคนม ... ในประเทศที่บริโภคนมมากขึ้น เช่น ญี่ปุ่น พบว่าภาวะไม่ทนต่อแล็กโทสนั้น มีความชุกลดลง ... ในยุโรปเหนือและแอฟริกาตะวันออก ซึ่งเคยมีวิถีชีวิตด้วยการเลี้ยงปศุสัตว์ ยังพบว่ามีกลุ่มคนที่มีการกลายพันธุ์บนโครโมโซม 2 ทำให้สามารถบริโภคนมได้ตลอดชีวิตอีกด้วย
3. คุณหมอบอกว่าคนไทย 99% แพ้นม ย่อยแล็กโทสไม่ได้ จริงเหรอ
คุณหมอบอกในคลิปว่า จากผลการศึกษาของคุณหมอเองด้วยการตรวจเลือดคนไข้กว่าพันคน คนไทย 99% มีภาวะแพ้นม ย่อยแล็กโทสไม่ได้ ... ทำให้คนส่วนใหญ่ที่ดูคลิปตกใจกันมากๆ เพราะก็แปลว่าคนไทยแทบทุกคนนั้นไม่ควรกินนม เดี๋ยวจะมีอาการร้ายแรงมากมายตามมา (แต่แย้งให้ฟังข้างบนแล้ว ว่ามันคนละเรื่องกันระหว่างการแพ้โปรตีนในนมวัวกับภาวะไม่ทนต่อแล็กโทส) ปัญหาคือ งานวิจัยที่คุณหมอทำเองนั้น ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ใด ที่จะทำให้เราเชื่อถือคำกล่าวอ้างนั้นได้ และการที่จะบอกว่าใครมีภาวะไม่ทนต่อแล็กโทสนั้น ยังต้องพิจารณาอย่างละเอียดอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ในการศึกษาผู้ใหญ่ชาวซิซิลี 323 คน Carroccio et al. (1998) พบว่ามีเพียง 4% ซึ่งมีทั้งภาวะไม่ทนต่อแล็กโทสและการย่อยแล็กโทสผิดปกติ ในขณะที่ 32.2% เป็นผู้ที่มีการย่อยแล็กโทสผิดปกติ แต่ไม่ได้มีผลสรุปออกมาว่าไม่ทนต่อแล็กโทส
แล้ว คนไทยส่วนใหญ่ไม่มีเอนไซม์ย่อยนมจริงหรือ? จากผลการศึกษาของ Densupsoontorn และคณะ เรื่อง Lactose intolerance in Thai adults. ตีพิมพ์ใน J Med Association Thai. 2004 Dec;87(12):1501-5. พบว่า เพียงแค่ประมาณ 50% ของคนไทยอายุระหว่าง 21-31 ปี ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์แล็กโทสย่อยนม โดยพบว่า 47% ของอาสาสมัครนั้นมีปัญหาในการดูดซึมและไม่ทนต่อน้ำตาลแล็กโทส ขณะที่ 4% นั้นมีปัญหาในการดูดซึมแต่สามารถทนต่อน้ำตาลแล็กโทสได้ และ 49% นั้นทั้งดูดซึมและทนต่อแล็กโทส
4. จริงเหรอที่คนที่ย่อยน้ำตาลแล็กโทสไม่ได้ ดื่มนมเข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะร่างกายจะไม่ได้แคลเซี่ยม
คำตอบคือ ไม่จริงนะ เพราะแคลเซี่ยมในนมไม่ได้จะต้องผ่านการย่อยด้วยเอนไซม์แล็กเทส (ที่ใช้ย่อยน้ำตาลแล็กโทส) แต่อย่างไร จึงไม่น่าจะเกี่ยวกันเลย
และถ้าดูจากงานวิจัยของ Tremaine WJ, Newcomer AD, Riggs BL, McGill DB. เรื่อง Calcium absorption from milk in lactase-deficient and lactase-sufficient adults. ตีพิมพ์ใน Dig Dis Sci. 1986 Apr;31(4):376-8. (https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/3754202) ซึ่งศึกษาว่าคนที่มีภาวะพร่องเอนไซม์แล็กเทส จะดูดซึมแคลเซี่ยมจากนมได้น้อยกว่าคนปรกติหรือไม่ พบว่าอาการมีปัญหาในการดูดซึมแล็กโทสของคนที่พร่องเอนไซม์แล็กเทสนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดูดซึมแคลเซี่ยมเข้าสู่ร่างกาย
ดังนั้น คนที่มีภาวะไม่ทนต่อแล็กโทส ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้รับแคลเซี่ยมเมื่อดื่มนมเข้าไป เพียงแต่ว่าการที่เค้ามีอาการท้องไส้ปั่นป่วนหลังจากดื่มนมนั้นทำให้พวกเขาไม่ค่อยนิยมดื่มนม และทำให้เหมือนกับว่ากลุ่มคนที่มีอาการนี้กลายเป็นพวกที่ได้รับแคลเซี่ยมน้อยกว่าคนปรกติ
5. ประเด็นใหญ่เลย "การดื่มนมทำให้เป็นโรคมะเร็ง" จริงเหรอ .. หรือมันช่วยป้องกันมะเร็ง
นับเป็นประเด็นที่คนสับสนกันมากเวลาอ่านข่าวทางด้านการแพทย์ เพราะจะมีข่าวทำนองว่า มีงานวิจัยใหม่บอกว่าการดื่มนมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง ขณะที่ก็มีข่าวเช่นกันว่า พบว่าการดื่มนมช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้ เอาไงกันแน่
เรื่องนึงที่เราควรจะเรียนรู้กันก่อน คือว่า งานวิจัยเกี่ยวกับ "ความเชื่อมโยงระหว่างอาหารกับโรค" ทำนองนี้มันมีข้อจำกัดอยู่นะ เพราะมันเป็นการวิจัยเชิง "สำรวจ" โดยเอาสถิติไปประเมินว่าอาหารที่กินเข้าไปนั้นมีความสัมพันธ์ทางสถิติกับ "ความเสี่ยงที่จะเกิดโรค" แค่ไหน แต่ไม่ได้จะเป็นการพิสูจน์ใดๆ เลยว่าอาหารนั้นเป็น "สาเหตุ" ก่อให้เกิดโรค ... บ่อยครั้ง ที่งานวิจัยเชิงสำรวจแบบนั้น พบว่าผิดพลาด เมื่อนำไปทำการทดลองจริงทางการแพทย์
พวกงานวิจัยเกี่ยวกับนมและมะเร็งนั้น พบว่าแทบทั้งนั้นที่เป็นงานวิจัยเชิงสำรวจ มันจึงไม่ได้เป็นตัวพิสูจน์แต่อย่างไรว่า นมหรือผลิตภัณฑ์นมจะก่อให้เกิดโรค เพียงแค่บอกว่ามันมีความเชื่อมโยงกัน (ซึ่งสาเหตุของโรค อาจจะเป็นอย่างอื่น ที่บังเอิญไปเชื่อมโยงกับนิสัยการนิยมดื่มนม ก็เป็นได้)
เรามาลองดูงานวิจัยกันไปทีละชนิดของโรคมะเร็งแล้วกัน (ข้อมูลจาก https://www.healthline.com/nutrition/dairy-and-cancer…)
5.1 มะเร็งลำไส้ Colorectal Cancer
ผลการศึกษาวิจัยนั้น พบว่าส่วนใหญ่แล้ว จะเอียงไปในทางที่่ว่าผลิตภัณฑ์จากนมนั้นช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ได้ (https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/21617020 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/19116875 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/19116875 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/15240785 ) โดยองค์ประกอบบางอย่างในนมนั้น ที่น่าจะมีส่วนช่วยในการป้องกันมะเร็ง ได้แก่ แคลเซี่ยม วิตามินดี และแบคทีเรียที่ให้กรดแล็กติก ถ้าเป็นพวกนมเปรี้ยวและโยเกิร์ต
5.2 มะเร็งต่อมลูกหมาก Prostate Cancer
งานวิจัยส่วนใหญ่ ระบุว่าการดื่มนมเป็นปริมาณมากๆ ในแต่ละวันนั้น จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก ( https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/25527754 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/16333032 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/15203374 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/22190107) ที่เป็นเช่นนั้น อาจจะเป็นเพราะว่านมมีสารประกอบทางชีวภาพอยู่มากมายหลายชนิด บางชนิดช่วยป้องกันมะเร็ง แต่บางชนิดก็อาจให้ผลตรงกันข้าม เช่น สาร Insulin-like growth factor 1 (IGF-1) ฮอร์โมน Estrogen
5.3 มะเร็งกระเพาะอาหาร Stomach Cancer
งานวิจัยส่วนใหญ่ ไม่พบว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจน ระหว่างนมที่ดื่มเข้าไปกับการเกิดมะเร็งกระเพาะ (https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/25006674 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/25923921 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/25400475 ) ในน้ำนม มีทั้งสารที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งกระเพาะได้ เช่น สาร conjugated linoleic acid (CLA) และเชื้อแบคทีเรียโปรไบโอติก ในนมเปรี้ยวและโยเกิร์ต แต่ก็มีสาร IGF-1 ที่อาจกระตุ้นให้เกิดมะเร็งกระเพาะได้
5.4 มะเร็งเต้านม Breast Cancer
โดยรวมแล้ว งานวิจัยบอกว่าผลิตภัณฑ์นมไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับการเกิดโรคมะเร็งเต้านม (https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/15213021 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/11914299 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/24330083 ) และงานวิจัยบางงานก็บอกว่า ผลิตภัณฑ์จากนมนั้นช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมอีกด้วย ( https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/21442197 )
แล้วอย่างนี้เราควรจะดื่มนมได้มากแค่ไหนถึงจะปลอดภัย ... คำแนะนำคือ ควรจะดื่มทุกวัน แต่ไม่ควรจะเกินวันละ 2 แก้ว (ซึ่งถ้าเกินกว่านี้ จะเป็นระดับที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก)
6. แล้วจริงๆ แล้ว นม (วัว) เป็นอาหารที่มีประโยชน์แค่ไหน
นมเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบด้วยสารอาหารต่างๆ คือ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แร่ธาตุ (แคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งมีมากในนม) และวิตามิน (วิตามินเอ บี1 บี2 ซี และดี) นมวัวเพียงหนึ่งถ้วยตวง ก็มีแคลเซียมสูงถึง 280 มิลลิกรัม จึงได้รับการส่งเสริมให้ดื่ม โดยเฉพาะในวัยเด็กเพื่อการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์ รวมถึงหญิงที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร และในวัยหมดระดู เพื่อช่วยป้องกันโรคกระดูกผุได้
การที่คนไทยมีปัญหาภาวะไม่ทนต่อน้ำตาลแลคโตสที่อยู่ในนมนั้น ทำให้ไม่ค่อยจะดื่มนมกัน เลยไม่ค่อยจะได้ประโยชน์จากนมเต็มที่ สถิติการดื่มนมของประชากรไทยอยู่ที่ 12 ลิตร/คน/ปี ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณการดื่มนมในต่างประเทศ เช่น สหรัฐ 120 ลิตร/คน/ปี สหภาพยุโรป 70 ลิตร/คน/ปี หรือแม้แต่มาเลเซีย 50 ลิตร/คน/ปี ทั้งที่การผลิตน้ำนมวัวในประเทศไทยมีแนวโน้มในการผลิตเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน
ปัญหาการดื่มนมวัวไม่ได้ของประชากรผู้ใหญ่ในประเทศไทย สามารถแก้ไขได้ด้วยการค่อยๆ ดื่มนมทีละน้อย เพื่อให้ร่างกายเริ่มสร้างน้ำย่อยสำหรับย่อยน้ำตาลในนมใหม่ หรือหันไปดื่มนมพร่องแล็กโทส หรือดื่มนมเปรี้ยวแทน เชื้อจุลินทรีย์ในนมเปรี้ยวจะสร้างกรดแลคติกซึ่งจะช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ง่ายกว่าการบริโภคนมโดยตรง
"สรุป"
- อย่าสับสนกันระหว่าง "การแพ้โปรตีนในนมวัว" กับ "ภาวะไม่ทนต่อน้ำตาลแล็กโทส เพราะพร่องเอนไซม์แล็กเทส"
- นมเป็นอาหารที่มีประโยชน์ และเป็นแหล่งสำคัญของแคลเซี่ยม ขณะที่ก็ไม่ใช่อาหารที่อันตรายร้ายแรง อย่างที่เข้าใจผิดกัน
- โดยรวมแล้ว นมมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคมะเร็งได้หลายชนิด แต่การดื่มนมมากเกินไปนั้น ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบางชนิดได้เช่นกัน
- การที่เราดื่มนมแล้วมีอาการปั่นปวนท้องนั้น เป็นเพราะเราเลิกดื่มนมกันเมื่อโตขึ้น ทำให้ร่างกายเริ่มย่อยน้ำตาลในนมไม่ได้ ซึ่งแก้ไขได้ด้วยการค่อยๆ กลับมาดื่มใหม่ หรือดื่มนมเปรี้ยว นมพร่องแล็กโทส แทน
----------------------------------
สนใจหนังสือ "อ๋อ! มันเป็นอย่างนี้นี่เอง" ติดต่อสั่งซื้อได้ที่เว็บไซต์ สนพ. มติชน http://www.matichonbook.com/…/matichonb…/newbooks/-2997.html
breast milk คือ 在 Breast milk.โค๊ชนมแม่ Youtube 的最佳解答
เนื่องจากแม่เบ็นซ์ปั้มนมและระบายนมมาเรื่อยๆ ทำให้ร่างกายผลิตน้ำนมต่อเนื่องรวมทั้งการเลือกทานวิทตามินเสริม คือ วิทแมม ทำให้ร่างกายผลิต นมคัดไว ส่งผลให้แม่เบ็ฯซ์ปั้มนมได้เยอะขึ้น การดื่มน้ำอย่างน้อย 3 ลิตรต่อวัน การทานอาหารครบ การปั้มให้เกลี้ยงเต้าคือตัวหลังมาโดยตลอด การพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ คลิปนี้เรามาเป็นกำลังใจให้คุณแม่ที่อยากมีน้ำนมเยอะๆ และสร้างแรงผลักดันการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่กันคะ
ติดตาม https://www.facebook.com/milkmom2/
https://twitter.com/PAKAMAS67845786
มีบริการ นวดเปิดท่อน้ำนม ดูแลสตรีหลังเรือนไฟ
อาหารเสริมที่เบ็นซ์เลือกทาน : https://www.facebook.com/VitMaam/