รู้จักเดนมาร์ก ผ่าน 10 บริษัท ที่ใหญ่สุดในประเทศ /โดย ลงทุนแมน
หากพูดถึง บริษัทที่ใหญ่ที่สุด หรือมีมูลค่าตลาดมากที่สุดของแต่ละประเทศ ก็พอจะบอกได้อย่างคร่าว ๆ ว่า ประเทศเหล่านั้นมีอุตสาหกรรมด้านไหนที่โดดเด่น
หรือให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมอะไรที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปในอนาคต
ประเทศมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีอย่างสหรัฐอเมริกา 10 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุด เป็นบริษัทด้านอุตสาหกรรมไอทีถึง 6 บริษัท
โดยบริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุด คือ Apple มีมูลค่ากว่า 73 ล้านล้านบาท และเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
ประเทศฝรั่งเศส ที่คนทั้งโลกยอมรับในเรื่องคุณภาพสินค้าและความหรูหรา ทั้งเครื่องแต่งกาย เครื่องสำอาง และเครื่องประดับ 10 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดของฝรั่งเศส จึงเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์หรูถึง 6 บริษัท โดยบริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุด ก็คือ LVMH มีมูลค่ากว่า 12 ล้านล้านบาท
ส่วนเดนมาร์ก ประเทศเล็ก ๆ ทางตอนเหนือของทวีปยุโรป ซึ่งเป็นประเทศร่ำรวยระดับ Top 10 ของโลกมานานหลายทศวรรษ
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ บริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดของประเทศนี้ ไม่ใช่บริษัทด้านไอที พลังงาน แบรนด์หรู หรืออุตสาหกรรมการผลิต แต่กลับเป็น “อุตสาหกรรมยา” ที่เป็น 1 ในปัจจัย 4 ที่สำคัญของชีวิตมนุษย์..
เดนมาร์กมีบริษัทยาอะไรที่มีมูลค่ามากที่สุด
และ 10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดของประเทศนี้ เกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
เดนมาร์กเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่จัดอยู่ในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ร่วมกับสวีเดนและนอร์เวย์
ในปี 2020 ชาวเดนมาร์ก 5.8 ล้านคน มี GDP ต่อหัวอยู่ที่ 1,890,000 บาทต่อปี
ความร่ำรวยของชาวเดนมาร์ก มีที่มาจากบริษัทน้อยใหญ่ ที่สามารถสร้างสินค้าคุณภาพสูงและขายได้ทั่วโลก โดยเฉพาะ 10 บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดของเดนมาร์ก ที่ล้วนแต่เป็นบริษัทที่ขายสินค้าและบริการให้กับผู้คนทั้งโลก
ใน 10 บริษัทนั้นประกอบไปด้วย
บริษัทเบียร์ 1 บริษัท
ธนาคาร 1 บริษัท
บริษัทขนส่ง 2 บริษัท
บริษัทด้านพลังงาน 2 บริษัท
บริษัทยา เครื่องมือแพทย์ และไบโอเทคโนโลยี 4 บริษัท
เริ่มจากบริษัทเบียร์ 1 บริษัท คือ Carlsberg มีมูลค่าบริษัท 930,000 ล้านบาท
เบียร์สัญชาติเดนมาร์กที่คนทั้งโลกรู้จักนี้ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1847 หรือเมื่อ 174 ปีที่แล้ว
Carlsberg เป็นหนึ่งในผู้นำเบียร์ลาเกอร์ หรือเบียร์ที่ต้องเก็บรักษาไว้ในที่เย็น และหมักบ่มเป็นเวลาหลายเดือน
Carlsberg ยังเป็นบริษัทแรกที่คิดค้นยีสต์บริสุทธิ์ สายพันธุ์ Saccharomyces Pastorianus
ที่ใช้ในการหมักเบียร์มาตั้งแต่ปี 1883 ซึ่งยีสต์ดังกล่าวยังคงใช้เป็นหนึ่งในวัตถุดิบของเบียร์ลาเกอร์มาจนถึงปัจจุบัน
ธนาคาร 1 บริษัท คือ Danske Bank มีมูลค่าบริษัท 470,000 ล้านบาท
ธนาคารที่ก่อตั้งในกรุงโคเปนเฮเกน มาตั้งแต่ปี 1871 จุดประสงค์แรกเริ่มคือเพื่อให้เป็นธนาคารสำหรับเกษตรกร ปัจจุบัน Danske Bank คือธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเดนมาร์ก และให้บริการในหลายประเทศในยุโรป ทั้งสวีเดน นอร์เวย์ ฟินแลนด์ ลิทัวเนีย และไอร์แลนด์
กรุงโคเปนเฮเกนที่มีประชากรเพียง 1.8 ล้านคน ถูกจัดให้เป็นเมืองศูนย์กลางการเงินของภูมิภาคยุโรปเหนือ และเป็นศูนย์กลางการเงินอันดับที่ 34 ของโลก จากการจัดอันดับของ Long Finance
ซึ่งใกล้เคียงกับเมืองโอซากาของญี่ปุ่น และอันดับสูงกว่ากรุงเทพมหานครของไทย ที่อยู่ในอันดับ 59
บริษัทขนส่ง 2 บริษัท คือ Maersk และ DSV Panalpina
Maersk เจ้าแห่งเรือเดินสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นอันดับหนึ่งในการให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือระหว่างประเทศ มีมูลค่าบริษัท 2,170,000 ล้านบาท
DSV Panalpina บริษัทด้านโลจิสติกส์ระดับโลก มีมูลค่าบริษัท 1,660,000 ล้านบาท
ให้บริการขนส่งทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ รวมถึงให้บริการระบบการจัดการห่วงโซ่อุปทาน และบริหารสินค้าคงคลังทั่วโลก
ชาวเดนมาร์กมีความเชี่ยวชาญในการเดินเรือมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษชาวไวกิง
เมื่อรวมกับทำเลที่ตั้งของเดนมาร์ก ซึ่งเป็นคาบสมุทรที่กั้นระหว่างทะเลเหนือทางตะวันตก กับทะเลบอลติกทางตะวันออก ประเทศที่ติดชายฝั่งทะเลบอลติก ไม่ว่าจะเป็นสวีเดน ฟินแลนด์ รัสเซีย หรือโปแลนด์
หากต้องการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าจากโลกภายนอกก็ล้วนต้องผ่านเดนมาร์กทั้งสิ้น
เดนมาร์กจึงก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการส่งสินค้าในภูมิภาคยุโรปเหนือ
โดยบริการด้านการขนส่ง มีสัดส่วนสูงถึง 25% ของการส่งออกสินค้าและบริการทั้งหมดของประเทศเดนมาร์ก
บริษัทพลังงาน 2 บริษัท คือ Ørsted และ Vestas Wind Systems ซึ่งล้วนแต่เป็นบริษัทที่เน้นการผลิตกังหันลม
เดนมาร์กเป็นประเทศที่มีการผลิตไฟฟ้ามาจากพลังงานลมเป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วนถึง 56.3%
ข้อได้เปรียบก็มาจากทำเลที่ตั้งของเดนมาร์ก ซึ่งติดกับทะเลเหนือที่มีลมพัดแรง
ประกอบกับในช่วงวิกฤติน้ำมัน ราวทศวรรษ 1970s รัฐบาลเดนมาร์กต้องการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ทั้งเพื่อลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ และเพื่อพัฒนาคุณภาพของสิ่งแวดล้อม
รัฐบาลจึงได้สนับสนุนงบประมาณแก่ทีมวิศวกร ในการพัฒนากังหันลมแห่งแรกของประเทศตั้งแต่ปี 1979 และประสบความสำเร็จในการสร้างกังหันลมนอกชายฝั่งเพื่อผลิตไฟฟ้าแห่งแรกของโลกในอีก 12 ปีถัดมา
ปัจจุบัน เดนมาร์กกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ส่งออกเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลม รวมทั้งการผลิตอุปกรณ์สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมรายใหญ่รายหนึ่งของโลก
มูลค่าบริษัทพลังงานลมทั้ง 2 บริษัท
Ørsted มีมูลค่าถึง 1,990,000 ล้านบาท
และ Vestas Wind Systems มีมูลค่า 1,270,000 ล้านบาท
และก็มาถึงภาคอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนมากที่สุดในบริษัท Top 10 ซึ่งก็คือ บริษัทยาและเทคโนโลยีทางการแพทย์ ที่มีถึง 4 บริษัท ได้แก่ Genmab, Coloplast, Novozymes และ Novo Nordisk
อุตสาหกรรมยา และเทคโนโลยีทางการแพทย์ เป็นภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดของเดนมาร์ก
ในปี 2020 เดนมาร์กส่งออกยารักษาโรค เป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1
ด้วยมูลค่าการส่งออกกว่า 595,200 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 18% ของสินค้าส่งออกทั้งหมดของเดนมาร์ก
ส่วนอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ เดนมาร์กส่งออกเป็นอันดับ 4 ด้วยมูลค่า 131,000 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วน 4% ของสินค้าส่งออกทั้งหมด
Genmab เป็นบริษัทไบโอเทคโนโลยี ที่พัฒนายาชีวภาพสำหรับรักษาโรคมะเร็ง
มีมูลค่าบริษัท 860,000 ล้านบาท
Coloplast บริษัทอุปกรณ์การแพทย์ เน้นพัฒนาอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะ และระบบขับถ่าย เช่น ทวารเทียม (Ostomy Bag)
มีมูลค่าบริษัท 1,090,000 ล้านบาท
Novozymes บริษัทไบโอเทคโนโลยี เป็นผู้นำระดับโลกในการผลิตเอนไซม์ จุลินทรีย์ และชีวเภสัชภัณฑ์ที่ใช้ในทางอุตสาหกรรม
มีมูลค่าบริษัท 1,320,000 ล้านบาท
Novo Nordisk บริษัทยาที่มีผลิตภัณฑ์หลักคืออินซูลิน ฮอร์โมนที่ใช้สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน ครองส่วนแบ่งอันดับ 1 ของโลกในแง่ของมูลค่ายารักษาโรคเบาหวาน
มีนวัตกรรมเฉพาะทาง เช่น ปากกาอินซูลิน ที่หลากหลายและครอบคลุมในทุกระดับการรักษา
และจากจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วโลกที่มีเพิ่มมากขึ้นทุกปี ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในประเทศเดนมาร์ก ก็คือ “Novo Nordisk” นั่นเอง
โดย Novo Nordisk มีมูลค่าบริษัทสูงถึง 6,100,000 ล้านบาท..
เดนมาร์กให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา
โดยเฉพาะในด้านเภสัชกรรม และเทคโนโลยีทางการแพทย์
มีการจัดตั้ง Medicon Valley ชานกรุงโคเปนเฮเกน ตั้งแต่ปี 1997 ให้เป็นศูนย์รวมสถาบันวิจัยทางการแพทย์ โรงพยาบาล สำนักงานของบริษัทยาและไบโอเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป
งบประมาณที่ใช้ในกระบวนการวิจัยและพัฒนาของเดนมาร์กอยู่ที่ 3.0% ต่อ GDP ในปี 2020
สูงเป็นอันดับ 6 ของโลก
จากการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของแต่ละประเทศในปี 2021 โดย International Institute for Management Development
เดนมาร์กถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 3 ของโลก โดดเด่นด้วยศักยภาพการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่เดนมาร์กให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดยเฉพาะด้านการศึกษาที่ทั่วถึง ฟรี และมีคุณภาพ
ชาวเดนมาร์ก 5.8 ล้านคน จึงสามารถพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ สร้างบริษัทที่ขายสินค้าและบริการเฉพาะทางให้กับผู้คนได้ทั้งโลก
โดยใน 10 บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดของเดนมาร์ก มีถึง 6 บริษัท ที่มีมูลค่าบริษัทมากกว่า 1,100,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่เทียบเท่าได้กับมูลค่าบริษัท ปตท. บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในประเทศไทย
หากการสังเกตบริษัทชั้นนำ 10 บริษัทของแต่ละประเทศ เราก็สามารถบอกได้คร่าว ๆ ว่าประเทศเหล่านั้นมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมด้านไหน และให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมอะไรในอนาคต
สำหรับเดนมาร์ก คงบอกได้ว่า
ประเทศนี้สามารถรักษาความเชี่ยวชาญที่มีมานาน ทั้งการทำเบียร์ การธนาคาร และการขนส่ง
ควบคู่ไปกับการวางแผนพัฒนาพลังงานสะอาด และไบโอเทคโนโลยี
ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคตได้อย่างลงตัว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://companiesmarketcap.com/denmark/largest-companies-in-denmark-by-market-cap
-https://ourworldindata.org/renewable-energy
-https://novonordiskfonden.dk/en/about-the-foundation/history/
-https://www.longfinance.net/media/documents/GFCI_29_Full_Report_2021.03.17_v1.1.pdf
-https://atlas.cid.harvard.edu/explore?country=64&product=undefined&year=2018&productClass=HS&target=Product&partner=undefined&startYear=undefined
-https://companiesmarketcap.com/denmark/largest-companies-in-denmark-by-market-cap/
-https://www.worldstopexports.com/denmarks-top-10-exports/
-https://www.imd.org/centers/world-competitiveness-center/rankings/world-competitiveness/
-https://www.statista.com/statistics/732269/worldwide-research-and-development-share-of-gdp-top-countries/
competitiveness คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
มิลาน กำลังแบกอิตาลีทั้งประเทศ /โดย ลงทุนแมน
นับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008
ประเทศอิตาลีก็ประสบภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวมาโดยตลอด
แม้จะผ่านมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปีแล้ว
GDP ของอิตาลีในปี 2018 ติดลบ 3.3% จากจุดสูงสุดในปี 2008
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีเมืองหนึ่งที่มีเศรษฐกิจโตวันโตคืน
GDP ของเมืองแห่งนี้ เติบโตจากปี 2008 อยู่ 6.4%
และหากวัดจาก 5 ปีที่แล้ว GDP ของเมืองแห่งนี้จะเติบโตถึง 9.7%
ไม่ใช่เมืองหลวงที่มีอายุหลายพันปีอย่างกรุงโรม
แต่เป็นเมืองใหญ่ทางตอนเหนือที่มีชื่อว่า มิลาน หรือที่ชาวอิตาลีเรียกกันว่า มิลาโน
มิลานมีดีอะไร ?
ถึงสามารถแบกอิตาลีทั้งประเทศได้
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit ที่สุดของแอปมีสาระ
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ในแง่ประวัติศาสตร์ มิลาน มีชื่อมาจากภาษาละตินว่า Mediolanum
ซึ่งมีความหมายว่า ใจกลางของที่ราบ
เพราะที่ตั้งของเมืองตั้งอยู่ใจกลางของที่ราบลุ่มแม่น้ำโป
ซึ่งเป็นที่ราบขนาดใหญ่ทางตอนเหนือของคาบสมุทรอิตาลี
ด้วยทำเลที่ตั้งที่ดี เชื่อมระหว่างกรุงโรมกับเมืองอื่นๆของยุโรปเหนือ
ทำให้มิลานเติบโตจนกลายเป็นชุมทางการค้าที่สำคัญของคาบสมุทรอิตาลี
แม้แต่ยามที่กรุงโรมและจักรวรรดิโรมันล่มสลาย
จนเมื่อถึงยุคเรอเนซองซ์ ราวคริสตศตวรรษที่ 15
มิลานกลายเป็นศูนย์รวมของพ่อค้า นายธนาคาร
ความร่ำรวยทำให้เหล่าพ่อค้าต้องการศิลปินเพื่อสร้างสรรค์ผลงานให้ตัวเอง
มิลานจึงกลายเป็นแหล่งรวมของศิลปินและนักออกแบบ และเติบโตจนกลายเป็นนครรัฐที่ยิ่งใหญ่อยู่หลายศตวรรษ
หลังจากมีการรวมแคว้นและนครรัฐต่างๆ จนเกิดเป็นประเทศอิตาลีในปี ค.ศ. 1861
และกรุงโรมได้รับเกียรติให้เป็นเมืองหลวง
ทำให้ถนนแทบทุกสายมุ่งหน้าสู่กรุงโรมอีกครั้ง
โดยเฉพาะสายการปกครอง สายศาสนา และการท่องเที่ยว
แต่ไม่ใช่สำหรับถนนสายเศรษฐกิจ..
มิลาน ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของแคว้นลอมบาร์ดี หรือ Lombadia ในภาษาอิตาลี
เป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์เพียงแห่งเดียวในอิตาลี คือ Borsa Italiana
ธนาคารที่มีสินทรัพย์มากที่สุดของอิตาลี Unicredit ซึ่งมีสินทรัพย์กว่า 27 ล้านล้านบาท
ก็มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองแห่งนี้
มิลานคือศูนย์กลางการเงินของอิตาลี
เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของธนาคารและบริษัทประกันภัยหลายแห่ง
นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมยานยนต์
รถยนต์ Alfa Romeo ก็มีต้นกำเนิดมาจากเมืองนี้
นอกจากยานยนต์ ยังมีอุตสาหกรรมยา สื่อมวลชน และสิ่งพิมพ์
ด้วยภาคการเงินและอุตสาหกรรมการผลิตที่แข็งแกร่ง
ส่งผลให้มิลานและเขตปริมณฑล หรือ Grande Milano
ที่มีอาณาเขตครอบคลุมประชากรรวม 4.2 ล้านคน
สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 6.7 ล้านล้านบาทในปี 2017
มิลานจึงเป็นเมืองใหญ่ ที่มี GDP ต่อหัวมากที่สุดของอิตาลี คือปีละ 1,595,000 บาท
มากกว่า GDP ต่อหัวของชาวอิตาลีเกือบ 2 เท่า
หากรวมแคว้นลอมบาร์ดี ซึ่งเป็นแคว้นที่มีมิลานเป็นเมืองหลวง
จะมีขนาด GDP ถึง 14 ล้านล้านบาท คิดเป็น 20% ของ GDP ประเทศอิตาลี
แต่นอกจากเรื่องการเงิน
หนึ่งในอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ให้กับมิลานมากที่สุด
ก็คือ “อุตสาหกรรมแฟชั่น”
การเป็นศูนย์รวมของพ่อค้าและศิลปินมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15
ทำให้มิลานกลายเป็นศูนย์กลางของการออกแบบเครื่องแต่งกาย มีสถาบันศิลปะและการออกแบบที่มีชื่อเสียง สร้างดีไซเนอร์ระดับโลกมากมาย
หากลองนึกถึงแบรนด์เครื่องแต่งกายหรูจากอิตาลี เกือบทั้งหมดล้วนมีต้นกำเนิดมาจากมิลาน
ทั้ง Giorgio Armani, Prada, Versace, Dolce&Gabbana, Ermenegildo Zegna,
Bottega Veneta และ Moschino
แม้แต่แบรนด์แว่นตาชั้นนำ ทั้ง Ray-Ban และ Oakley ซึ่งเป็นของบริษัท Luxottica
บริษัทนี้ก็มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่มิลาน
แบรนด์เหล่านี้สร้างชื่อเสียงให้กับมิลานจนกลายเป็นเมืองระดับ Big 4 ของวงการแฟชั่นโลก
งานมิลานแฟชั่นวีก กลายเป็นสถานที่รวมดีไซเนอร์และนักท่องเที่ยวผู้หลงใหลในเสน่ห์ของดีไซน์อิตาลี
วงการแฟชั่นและแบรนด์หรูที่เติบโตได้ดี ดึงดูดเงินจากนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักทั่วทุกมุมโลก
สร้างรายได้มหาศาลให้กับมิลาน
ความคึกคักทางเศรษฐกิจดึงดูดแรงงานเข้ามาทำงานในมิลานมากขึ้นเรื่อยๆ
อัตราว่างงานในมิลานอยู่ที่ 8% ส่วนอิตาลีอยู่ที่ 12%
โดยแรงงานส่วนใหญ่อพยพมาจากแคว้นทางตอนใต้ของอิตาลี
ประเทศอิตาลีมีความแตกต่างทางเศรษฐกิจระหว่างแคว้นทางเหนือกับแคว้นทางใต้มานับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประเทศ
แคว้นทางเหนือ เป็นที่ตั้งของเมืองอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะมิลาน
มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า ทั้งการเงิน แฟชั่น ยานยนต์ และการท่องเที่ยว
เศรษฐกิจที่หลากหลายทำให้ผู้คนมีฐานะร่ำรวย
ในขณะที่ผู้คนในแคว้นทางภาคใต้ ซึ่งมีเมืองสำคัญอย่างเนเปิลส์ และปาแลร์โม
กลับมีฐานะยากจนกว่า เพราะมีรายได้หลักมาจากภาคเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว
และถูกรุมเร้าด้วยปัญหาการว่างงานและอัตราอาชญากรรมที่สูง
ทำให้แรงงานต้องอพยพไปยังภาคเหนือเพื่อหางานทำ
นอกจากนั้นแคว้นทางภาคใต้ยังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาการคอร์รัปชัน มาเฟียท้องถิ่น และจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แล้วปัญหาก็เกิดขึ้น เมื่อผู้คนในแคว้นลอมบาร์ดีซึ่งเมืองมิลานตั้งอยู่
เริ่มรู้สึกว่าภาษีที่ตัวเองจ่ายให้ส่วนกลางกว่า 2 ล้านล้านบาท
ถูกนำไปถมให้กับปัญหาเรื้อรังทางภาคใต้ มากกว่านำมาใช้ประโยชน์ต่อการลงทุนในท้องถิ่น
การลงประชามติเพื่อขออำนาจในการปกครองตนเองของแคว้นลอมบาร์ดีในเดือนตุลาคม ปี 2017 จึงเกิดขึ้น ทั้งที่ผู้มาเข้าร่วมมีไม่ถึง 40% ของทั้งแคว้น
แต่กว่า 95% ของผู้ลงประชามติ ก็ให้การสนับสนุนกับการปกครองตนเอง
แม้การลงประชามติครั้งนี้ จะเป็นไปเพื่อต่อรองกับทางกรุงโรม เพื่อขออิสระในการจัดการบริหารเงินภาษี มากกว่าที่จะขอแบ่งแยกประเทศ
แต่ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ..
ในประเทศอุตสาหกรรมชั้นแนวหน้าของโลก มีระบบรัฐสวัสดิการที่ครอบคลุมอย่างอิตาลี
ยังมีความเหลื่อมล้ำที่เห็นได้ชัดเจน
ช่องว่างระหว่างแคว้นทางเหนือที่ร่ำรวย กับแคว้นทางใต้ที่ยากจน เริ่มห่างกันมากขึ้นทุกที
หากยิ่งคำนึงถึงหนี้สาธารณะของประเทศที่มีสูงถึง 131% ของ GDP
อนาคตของสาธารณรัฐอิตาลี ซึ่งเพิ่งรวมประเทศกันมาได้เพียง 159 ปี ก็อาจสั่นคลอนได้
ล่าสุดจากเหตุการณ์พบผู้ป่วย COVID-19 ในแคว้นลอมบาร์ดีจำนวนมาก ก็ยิ่งเป็นที่น่าจับตาว่าจะกระทบเศรษฐกิจของเมืองมิลานขนาดไหน
และถ้ามิลานเป็นอะไรไป
ก็อาจหมายความว่า
มิลานจะแบกอิตาลีทั้งประเทศต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว
และสุดท้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบ
ก็คือทุกคนในอิตาลี นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit ที่สุดของแอปมีสาระ
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.thelocal.it/…/milan-should-be-the-new-capital-o…
-https://europe.uli.org/…/Milan-and-Turin-Competitiveness-of…
-https://www.theguardian.com/…/how-europes-cities-stole-cont…
-https://www.ft.com/con…/cfb822ea-9307-11e7-a9e6-11d2f0ebb7f0
-https://www.bbc.com/news/world-europe-41712263
competitiveness คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
มิลาน กำลังแบกอิตาลีทั้งประเทศ /โดย ลงทุนแมน
นับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008
ประเทศอิตาลีก็ประสบภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวมาโดยตลอด
แม้จะผ่านมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปีแล้ว
GDP ของอิตาลีในปี 2018 ติดลบ 3.3% จากจุดสูงสุดในปี 2008
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีเมืองหนึ่งที่มีเศรษฐกิจโตวันโตคืน
GDP ของเมืองแห่งนี้ เติบโตจากปี 2008 อยู่ 6.4%
และหากวัดจาก 5 ปีที่แล้ว GDP ของเมืองแห่งนี้จะเติบโตถึง 9.7%
ไม่ใช่เมืองหลวงที่มีอายุหลายพันปีอย่างกรุงโรม
แต่เป็นเมืองใหญ่ทางตอนเหนือที่มีชื่อว่า มิลาน หรือที่ชาวอิตาลีเรียกกันว่า มิลาโน
มิลานมีดีอะไร ?
ถึงสามารถแบกอิตาลีทั้งประเทศได้
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit ที่สุดของแอปมีสาระ
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ในแง่ประวัติศาสตร์ มิลาน มีชื่อมาจากภาษาละตินว่า Mediolanum
ซึ่งมีความหมายว่า ใจกลางของที่ราบ
เพราะที่ตั้งของเมืองตั้งอยู่ใจกลางของที่ราบลุ่มแม่น้ำโป
ซึ่งเป็นที่ราบขนาดใหญ่ทางตอนเหนือของคาบสมุทรอิตาลี
ด้วยทำเลที่ตั้งที่ดี เชื่อมระหว่างกรุงโรมกับเมืองอื่นๆของยุโรปเหนือ
ทำให้มิลานเติบโตจนกลายเป็นชุมทางการค้าที่สำคัญของคาบสมุทรอิตาลี
แม้แต่ยามที่กรุงโรมและจักรวรรดิโรมันล่มสลาย
จนเมื่อถึงยุคเรอเนซองซ์ ราวคริสตศตวรรษที่ 15
มิลานกลายเป็นศูนย์รวมของพ่อค้า นายธนาคาร
ความร่ำรวยทำให้เหล่าพ่อค้าต้องการศิลปินเพื่อสร้างสรรค์ผลงานให้ตัวเอง
มิลานจึงกลายเป็นแหล่งรวมของศิลปินและนักออกแบบ และเติบโตจนกลายเป็นนครรัฐที่ยิ่งใหญ่อยู่หลายศตวรรษ
หลังจากมีการรวมแคว้นและนครรัฐต่างๆ จนเกิดเป็นประเทศอิตาลีในปี ค.ศ. 1861
และกรุงโรมได้รับเกียรติให้เป็นเมืองหลวง
ทำให้ถนนแทบทุกสายมุ่งหน้าสู่กรุงโรมอีกครั้ง
โดยเฉพาะสายการปกครอง สายศาสนา และการท่องเที่ยว
แต่ไม่ใช่สำหรับถนนสายเศรษฐกิจ..
มิลาน ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของแคว้นลอมบาร์ดี หรือ Lombadia ในภาษาอิตาลี
เป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์เพียงแห่งเดียวในอิตาลี คือ Borsa Italiana
ธนาคารที่มีสินทรัพย์มากที่สุดของอิตาลี Unicredit ซึ่งมีสินทรัพย์กว่า 27 ล้านล้านบาท
ก็มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองแห่งนี้
มิลานคือศูนย์กลางการเงินของอิตาลี
เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของธนาคารและบริษัทประกันภัยหลายแห่ง
นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมยานยนต์
รถยนต์ Alfa Romeo ก็มีต้นกำเนิดมาจากเมืองนี้
นอกจากยานยนต์ ยังมีอุตสาหกรรมยา สื่อมวลชน และสิ่งพิมพ์
ด้วยภาคการเงินและอุตสาหกรรมการผลิตที่แข็งแกร่ง
ส่งผลให้มิลานและเขตปริมณฑล หรือ Grande Milano
ที่มีอาณาเขตครอบคลุมประชากรรวม 4.2 ล้านคน
สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 6.7 ล้านล้านบาทในปี 2017
มิลานจึงเป็นเมืองใหญ่ ที่มี GDP ต่อหัวมากที่สุดของอิตาลี คือปีละ 1,595,000 บาท
มากกว่า GDP ต่อหัวของชาวอิตาลีเกือบ 2 เท่า
หากรวมแคว้นลอมบาร์ดี ซึ่งเป็นแคว้นที่มีมิลานเป็นเมืองหลวง
จะมีขนาด GDP ถึง 14 ล้านล้านบาท คิดเป็น 20% ของ GDP ประเทศอิตาลี
แต่นอกจากเรื่องการเงิน
หนึ่งในอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ให้กับมิลานมากที่สุด
ก็คือ “อุตสาหกรรมแฟชั่น”
การเป็นศูนย์รวมของพ่อค้าและศิลปินมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15
ทำให้มิลานกลายเป็นศูนย์กลางของการออกแบบเครื่องแต่งกาย มีสถาบันศิลปะและการออกแบบที่มีชื่อเสียง สร้างดีไซเนอร์ระดับโลกมากมาย
หากลองนึกถึงแบรนด์เครื่องแต่งกายหรูจากอิตาลี เกือบทั้งหมดล้วนมีต้นกำเนิดมาจากมิลาน
ทั้ง Giorgio Armani, Prada, Versace, Dolce&Gabbana, Ermenegildo Zegna,
Bottega Veneta และ Moschino
แม้แต่แบรนด์แว่นตาชั้นนำ ทั้ง Ray-Ban และ Oakley ซึ่งเป็นของบริษัท Luxottica
บริษัทนี้ก็มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่มิลาน
แบรนด์เหล่านี้สร้างชื่อเสียงให้กับมิลานจนกลายเป็นเมืองระดับ Big 4 ของวงการแฟชั่นโลก
งานมิลานแฟชั่นวีก กลายเป็นสถานที่รวมดีไซเนอร์และนักท่องเที่ยวผู้หลงใหลในเสน่ห์ของดีไซน์อิตาลี
วงการแฟชั่นและแบรนด์หรูที่เติบโตได้ดี ดึงดูดเงินจากนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักทั่วทุกมุมโลก
สร้างรายได้มหาศาลให้กับมิลาน
ความคึกคักทางเศรษฐกิจดึงดูดแรงงานเข้ามาทำงานในมิลานมากขึ้นเรื่อยๆ
อัตราว่างงานในมิลานอยู่ที่ 8% ส่วนอิตาลีอยู่ที่ 12%
โดยแรงงานส่วนใหญ่อพยพมาจากแคว้นทางตอนใต้ของอิตาลี
ประเทศอิตาลีมีความแตกต่างทางเศรษฐกิจระหว่างแคว้นทางเหนือกับแคว้นทางใต้มานับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประเทศ
แคว้นทางเหนือ เป็นที่ตั้งของเมืองอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะมิลาน
มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า ทั้งการเงิน แฟชั่น ยานยนต์ และการท่องเที่ยว
เศรษฐกิจที่หลากหลายทำให้ผู้คนมีฐานะร่ำรวย
ในขณะที่ผู้คนในแคว้นทางภาคใต้ ซึ่งมีเมืองสำคัญอย่างเนเปิลส์ และปาแลร์โม
กลับมีฐานะยากจนกว่า เพราะมีรายได้หลักมาจากภาคเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว
และถูกรุมเร้าด้วยปัญหาการว่างงานและอัตราอาชญากรรมที่สูง
ทำให้แรงงานต้องอพยพไปยังภาคเหนือเพื่อหางานทำ
นอกจากนั้นแคว้นทางภาคใต้ยังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาการคอร์รัปชัน มาเฟียท้องถิ่น และจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แล้วปัญหาก็เกิดขึ้น เมื่อผู้คนในแคว้นลอมบาร์ดีซึ่งเมืองมิลานตั้งอยู่
เริ่มรู้สึกว่าภาษีที่ตัวเองจ่ายให้ส่วนกลางกว่า 2 ล้านล้านบาท
ถูกนำไปถมให้กับปัญหาเรื้อรังทางภาคใต้ มากกว่านำมาใช้ประโยชน์ต่อการลงทุนในท้องถิ่น
การลงประชามติเพื่อขออำนาจในการปกครองตนเองของแคว้นลอมบาร์ดีในเดือนตุลาคม ปี 2017 จึงเกิดขึ้น ทั้งที่ผู้มาเข้าร่วมมีไม่ถึง 40% ของทั้งแคว้น
แต่กว่า 95% ของผู้ลงประชามติ ก็ให้การสนับสนุนกับการปกครองตนเอง
แม้การลงประชามติครั้งนี้ จะเป็นไปเพื่อต่อรองกับทางกรุงโรม เพื่อขออิสระในการจัดการบริหารเงินภาษี มากกว่าที่จะขอแบ่งแยกประเทศ
แต่ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ..
ในประเทศอุตสาหกรรมชั้นแนวหน้าของโลก มีระบบรัฐสวัสดิการที่ครอบคลุมอย่างอิตาลี
ยังมีความเหลื่อมล้ำที่เห็นได้ชัดเจน
ช่องว่างระหว่างแคว้นทางเหนือที่ร่ำรวย กับแคว้นทางใต้ที่ยากจน เริ่มห่างกันมากขึ้นทุกที
หากยิ่งคำนึงถึงหนี้สาธารณะของประเทศที่มีสูงถึง 131% ของ GDP
อนาคตของสาธารณรัฐอิตาลี ซึ่งเพิ่งรวมประเทศกันมาได้เพียง 159 ปี ก็อาจสั่นคลอนได้
ล่าสุดจากเหตุการณ์พบผู้ป่วย COVID-19 ในแคว้นลอมบาร์ดีจำนวนมาก ก็ยิ่งเป็นที่น่าจับตาว่าจะกระทบเศรษฐกิจของเมืองมิลานขนาดไหน
และถ้ามิลานเป็นอะไรไป
ก็อาจหมายความว่า
มิลานจะแบกอิตาลีทั้งประเทศต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว
และสุดท้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบ
ก็คือทุกคนในอิตาลี นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit ที่สุดของแอปมีสาระ
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.thelocal.it/20170222/milan-should-be-the-new-capital-of-italy-beats-rome-business-economy-culture
-https://europe.uli.org/wp-content/uploads/sites/127/ULI-Documents/Milan-and-Turin-Competitiveness-of-Italys-great-northern-cities-Web.pdf
-https://www.theguardian.com/cities/2019/nov/10/how-europes-cities-stole-continents-wealth
-https://www.ft.com/content/cfb822ea-9307-11e7-a9e6-11d2f0ebb7f0
-https://www.bbc.com/news/world-europe-41712263