รู้จัก Vinamilk ผู้ผลิตนมสัญชาติเวียดนาม ที่ใหญ่กว่า CPF /โดย ลงทุนแมน
รู้ไหมว่า บริษัทนมที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามมีมูลค่ามากกว่า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ผู้ประกอบธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจรในประเทศไทย
บริษัทนี้ชื่อว่า “Vinamilk” ที่น่าสนใจคือ
หนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Vinamilk คือบริษัทของคนไทยอีกด้วย
เรื่องนี้เป็นอย่างไร ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Vinamilk หรือชื่อเต็มคือ Vietnam Dairy Products Joint Stock Company ก่อตั้งขึ้นในปี 1976 โดยบริษัท Southern Coffee-Dairy ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐบาลที่ไปซื้อกิจการมาจากบริษัทเอกชนอีกที
Vinamilk เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ปี 2003
โดยปัจจุบัน ผู้ถือหุ้นใหญ่สุดของ Vinamilk คือ
- กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของเวียดนาม (State Capital Investment Corporation) ถือหุ้นอยู่ 36.0%
- กลุ่มบริษัท F&N ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ของคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ถือหุ้นอยู่ 20.0%
- Jardine บริษัทโฮลดิงจากสิงคโปร์ ถือหุ้นอยู่ 10.6%
- ผู้ถือหุ้นรายย่อย ถือหุ้นอยู่ 33.4%
ก่อนหน้านี้ นักลงทุนต่างชาติที่สนใจลงทุนในหุ้น Vinamilk ไม่สามารถซื้อหุ้นของบริษัทได้ เนื่องจากติดข้อจำกัดการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ (Foreign Holding Limit) ให้ถือได้ไม่เกิน 49%
ที่เป็นแบบนี้ เพราะรัฐบาลเวียดนามเกรงว่า ถ้านักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นจนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ อาจทำให้เข้ามามีอิทธิพลกับการดำเนินงานของบริษัทมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม กฎเกณฑ์นี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้วในปี 2016 โดยอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้าถือหุ้นในบริษัทได้สูงสุด 100%
แต่ปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่สุดก็ยังเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของเวียดนามอยู่ดี
ปัจจุบัน Vinamilk ทำธุรกิจผลิตนมและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับนมรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม มีโรงงานผลิตนม และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 15 แห่ง กระจายอยู่ทั้งในเวียดนาม กัมพูชา และสหรัฐอเมริกา
สินค้าของบริษัทที่ผลิตออกมาขายนั้นมีมากกว่า 250 รายการ เช่น นมพร้อมดื่ม, นมผง, โยเกิร์ต, นมข้นหวาน, ครีมเทียมข้นหวาน, ไอศกรีม, ชีส, นมถั่วเหลือง
รู้ไหมว่า ผลิตภัณฑ์นมหลายชนิดของ Vinamilk ครองส่วนแบ่งในสัดส่วนที่สูงในเวียดนาม เช่น
โยเกิร์ต 83%
นมข้น 79%
นมเหลว 59%
นมผง 42%
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Vinamilk มีความได้เปรียบในการทำธุรกิจคือ การที่บริษัททำธุรกิจผลิตนมและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับนม ครอบคลุม “ต้นน้ำถึงปลายน้ำ” โดยเริ่มตั้งแต่
- มีฟาร์มโคนมของตัวเอง รวมไปถึงการทำสัญญาซื้อขายนมจากฟาร์มจากเครือข่ายเกษตรกร
- มีโรงงานผลิตเป็นของตนเองหลายแห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- มีระบบกระจายสินค้าขนาดใหญ่ เพื่อช่วยให้วางขายได้หลายช่องทาง ตั้งแต่ร้านค้าปลีกดั้งเดิม ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ โรงแรม และร้านอาหาร
ปัจจุบัน สินค้าของบริษัทมีการส่งออกไปขายยังต่างประเทศถึง 55 ประเทศทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วยที่ Vinamilk เริ่มเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2016
รายได้และกำไรของ Vinamilk
ปี 2018 รายได้ 73,600 ล้านบาท กำไร 14,300 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 79,000 ล้านบาท กำไร 14,800 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้ 83,600 ล้านบาท กำไร 15,700 ล้านบาท
แม้ว่าปีที่ผ่านมา วิกฤติโควิด 19 จะทำให้เศรษฐกิจเวียดนามโตได้เพียง 2.9% ต่ำสุดในช่วงปี 2011-2020 แต่ทั้งรายได้และกำไรของบริษัทก็ยังสามารถเติบโตได้ประมาณ 6%
ซึ่งบริษัทก็ให้เหตุผลว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้บริโภคชาวเวียดนามให้ความใส่ใจต่อสุขภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้เริ่มหันมาบริโภคนมและโยเกิร์ตกันมากขึ้น
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ในปี 2019 ข้อมูลจาก Euromonitor ระบุว่าเวียดนาม เป็นประเทศที่คนบริโภคนมยังถือว่าอยู่ในอัตราต่ำ เมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ
- คนเกาหลีใต้ บริโภคนม 42.5 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
- คนไทย บริโภคนม 33.5 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
- คนมาเลเซีย บริโภคนม 25.7 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
- คนจีน บริโภคนม 22.3 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
- คนเวียดนาม บริโภคนม 21.8 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
นอกจากนี้ อีกกุญแจดอกสำคัญที่ทำให้นักลงทุนหลายคนเชื่อว่าธุรกิจของ Vinamilk มีโอกาสเติบโต เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศที่คาดว่ายังเติบโตในระดับสูง
โดยข้อมูลจากธนาคารโลกระบุว่า เศรษฐกิจของเวียดนามจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 6.5-7.5% ต่อปี ตั้งแต่ปัจจุบันไปจนถึงปี 2030
เมื่อรวมกับการที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ
การดื่มและทานสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ
และตลาดผู้บริโภคของเวียดนาม ที่มีประชากรมากถึง 98 ล้านคน
ธุรกิจผลิตนมของ Vinamilk ก็ดูจะมีโอกาสให้เติบโต ได้อีกไม่น้อย
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
ในปี 2015 มูลค่าบริษัท Vinamilk เท่ากับ 127,000 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบัน มูลค่าบริษัทของ Vinamilk เพิ่มขึ้นมาเป็น 250,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมาเกือบ 1 เท่าตัว
ทำให้ไม่เพียงแต่ Vinamilk ถือเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียน ที่มีขนาดใหญ่รายหนึ่งในตลาดหุ้นเวียดนาม
แต่ยังใหญ่กว่าหุ้นของบริษัท CPF ที่มีมูลค่า 220,000 ล้านบาท ในวันนี้..
หมายเหตุ: บทความนี้ไม่ได้ชี้นำให้ซื้อหุ้นตัวนี้ การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.vinamilk.com.vn/en/investor-relations
-https://pitchbook.com/profiles/company/51388-93
-https://www.statista.com/statistics/1116885/vinamilk-market-share-of-dairy-products-by-type/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Vinamilk
-https://en.wikipedia.org/wiki/Jardine_Cycle_%26_Carriage
-https://forbesthailand.com/world/asia/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A3.html
-https://www.macrotrends.net/countries/VNM/vietnam/population-growth-rate
-https://www.worldometers.info/world-population/vietnam-population/
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「investor relations wiki」的推薦目錄:
- 關於investor relations wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於investor relations wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於investor relations wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於investor relations wiki 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最佳貼文
- 關於investor relations wiki 在 大象中醫 Youtube 的最佳解答
- 關於investor relations wiki 在 大象中醫 Youtube 的最佳解答
- 關於investor relations wiki 在 Company Research: Google and Wikipedia - YouTube 的評價
investor relations wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
MicroStrategy บริษัทที่กำไร แสนล้าน จากการลงทุนในบิตคอยน์ /โดย ลงทุนแมน
หลังจากมูลค่าของบิตคอยน์ ได้ขึ้นไปทะลุ 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อหนึ่งบิตคอยน์
หลายคนก็ได้เริ่มพูดถึงนักลงทุนสถาบันอย่าง Tesla ที่ได้นำเงินสด
มูลค่าราว 4.6 หมื่นล้านบาท เข้าไปลงทุนในบิตคอยน์
แต่รู้หรือไม่ว่า ยังมีอีกบริษัทที่ได้เข้าไปลงทุนในบิตคอยน์ก่อน Tesla
และได้สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในบิตคอยน์คิดเป็นมูลค่าราวแสนล้านบาท
แล้วบริษัทที่ว่านี้คือใคร และทำธุรกิจอะไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่านและนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
บริษัทแห่งนั้นชื่อว่า “MicroStrategy” ก่อตั้งขึ้นโดย Michael Saylor
กับเพื่อนอีก 2 คน ในปี 1989 หรือราว 32 ปีก่อน
ทั้ง 3 คนนี้เป็นเพื่อนที่เรียนจบมาด้วยกัน
จากมหาวิทยาลัย Massachusetts Institute of Technology (MIT)
แรกเริ่มเดิมที เป้าหมายหลักของบริษัท MicroStrategy
ก็คือ “การเป็นบริษัทอันดับหนึ่ง” ในด้านผู้ผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์
สำหรับการวิเคราะห์ในทางธุรกิจ ดำเนิน 2 ธุรกิจหลัก แบ่งออกเป็น
- บริการที่ปรึกษาทางด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจ และคลาวด์
- บริการเสริมอื่น ๆ เช่น การจัดคอร์สอบรมฝึกสอน การใช้งานซอฟต์แวร์ และการวิเคราะห์ข้อมูล
ในช่วงแรกก็ดูเหมือนว่า MicroStrategy จะเริ่มต้นได้ดี เพราะหลังจากที่ทำธุรกิจได้เพียง 3 ปี บริษัทก็สามารถสร้างความน่าเชื่อถือ และสามารถปิดดีลกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง McDonald's ได้สำเร็จ
ในที่สุด บริษัทก็ได้จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ
แล้วอะไรทำให้บริษัทแห่งนี้ เข้าไปลงทุนในบิตคอยน์ ?
จริง ๆ แล้ว MicroStrategy ได้เริ่มเข้ามาลงทุนในบิตคอยน์
ตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม ปีที่ผ่านมา หรือก่อนหน้า Tesla ราวครึ่งปี
โดยมีเหตุผลสำคัญที่เข้าไปลงทุนก็เพราะว่า
ธุรกิจหลักของบริษัทได้รับผลกระทบจากโรคระบาดอย่างหนัก
ซึ่งตัวเจ้าของบริษัทอย่าง คุณ Michael Saylor ก็ยังได้ระบุว่า
ธุรกิจของเขาจะฟื้นตัวได้ช้า เพราะเหล่าลูกค้าองค์กรของบริษัท ไม่ยอมต่ออายุผลิตภัณฑ์
และลูกค้าหลายรายมองว่าบริการของ MicroStrategy กลายมาเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
เรื่องดังกล่าวจึงทำให้ คุณ Michael Saylor คาดการณ์ว่า
แม้โลกกำลังได้รับวัคซีน และสถานการณ์ดูเหมือนกำลังจะดีขึ้น
ธุรกิจหลักของบริษัทก็จะยังไม่ฟื้นตัว และหาทางเติบโตได้ลำบาก
ทั้งหมดนี้จึงทำให้เขาตัดสินใจนำเงินสดของบริษัท เข้าไปลงทุนในบิตคอยน์
โดยเขายังได้ให้ความเห็นอีกว่า บิตคอยน์จะเป็นสินทรัพย์ที่หายากที่สุดในโลก
และคุณสมบัติที่มีอยู่อย่างจำกัดของบิตคอยน์ จะทำให้มันมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ MicroStrategy เริ่มลงทุนในบิตคอยน์เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่ผ่านมา
ณ ตอนนั้น บิตคอยน์มีมูลค่า 11,700 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 เหรียญบิตคอยน์
ซึ่งพอเรามาดูมูลค่าของบิตคอยน์ในงบดุลของ MicroStrategy ปี 2020
(สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2020)
สินทรัพย์ 45,000 ล้านบาท
หนี้สิน 28,000 ล้านบาท
ส่วนของผู้ถือหุ้น 17,000 ล้านบาท
ถ้าถามว่าบริษัทลงบัญชีบิตคอยน์เป็นอะไรในงบการเงิน
คำตอบก็คือบริษัท MicroStrategy ได้จัดบิตคอยน์ เป็นสินทรัพย์ระยะยาว
ในรายการ “Digital Assets” หรือแปลเป็นไทยว่า “สินทรัพย์ดิจิทัล” มีมูลค่าราว 32,400 ล้านบาท
คิดเป็นมากถึง 72% ของสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท..
ในขณะเดียวกัน เงินทุนที่ MicroStrategy ใช้ในการเข้าซื้อบิตคอยน์ซึ่งนอกจากจะใช้เงินสดแล้ว
ทางบริษัทก็ยังได้ออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนมาเข้าซื้อบิตคอยน์เพิ่มเติม จนทำให้หนี้สินของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ MicroStrategy ก็ยังได้เข้าซื้อบิตคอยน์ตลอดช่วงต้นปีนี้
โดยปัจจุบัน บริษัทถือครองบิตคอยน์อยู่ทั้งสิ้น 91,064 เหรียญ
ปัจจุบัน บิตคอยน์มีมูลค่าประมาณ 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อเหรียญ
โดยที่ทุนเฉลี่ยการลงทุนในบิตคอยน์ของ MicroStrategy อยู่ที่ 24,115 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อเหรียญ
แปลว่า MicroStrategy สร้างผลตอบแทนคิดเป็นมูลค่าทั้งหมด สูงถึง 3,268 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 100,400 ล้านบาท..
ด้วยมูลค่าดังกล่าว จึงทำให้ MicroStrategy ถือเป็นบริษัทมหาชน
ที่ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลมากถึง 168,000 ล้านบาท
ซึ่งถือเป็นมูลค่าการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลที่มากที่สุดในโลก
ในขณะที่บริษัทมีมูลค่าราว 2.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าภายในปีเดียว..
ถึงตรงนี้ เราก็คงสรุปได้ว่า MicroStrategy เป็นบริษัทที่แทบจะทิ้งธุรกิจหลักไปแล้ว
และหันไปโฟกัสกับการเป็นบริษัท ที่ผูกอนาคตไว้กับมูลค่าของบิตคอยน์ไปแล้วเรียบร้อย
ด้วยความที่บิตคอยน์ ยังคงความร้อนแรง และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง
บวกกับความสนใจจากทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ และสถาบันทางการเงิน
ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าบิตคอยน์อาจจะกลายมาเป็นสินทรัพย์ที่มาแทน “ทองคำ”
ในรูปแบบของสินทรัพย์ ที่มีความสามารถในการกักเก็บความมั่งคั่งเอาไว้ได้
สำหรับในประเทศไทย ก็น่าคิดเหมือนกันว่า
ใครจะเป็นเจ้าแรกที่ริเริ่มการนำเงินสดของบริษัท
มาเข้าซื้อบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์
แต่ก็อย่าลืมว่า เหรียญมี 2 ด้านเสมอ
และวันนี้ก็เหมือนว่าทั้งโลกกำลังพูดถึงการก้าวกระโดด
ในด้านแรกเพียงเท่านั้น เพราะหากย้อนกลับไปไม่กี่ปีก่อน
มูลค่าของบิตคอยน์เคยปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดไปมากถึง 80%
แน่นอนว่า คริปโทเคอร์เรนซีและบล็อกเชน จะเป็นอนาคตของโลก
แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่า “บิตคอยน์” จะมีจุดหมายปลายทางเป็นอย่างไร
ทั้งหมดนี้ ยังไม่มีใครรู้ และเวลา จะเป็นผู้ให้คำตอบ..
คำเตือน: บทความนี้ไม่ได้ชี้นำให้ซื้อหรือขายสินทรัพย์ที่กล่าวถึง การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี มีความผันผวนสูง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่านและนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-บทความนี้อ้างอิงราคาบิตคอยน์ ณ ช่วงเช้า วันที่ 15 มีนาคม 2020 ที่ 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 บิตคอยน์
-https://decrypt.co/47061/public-companies-biggest-bitcoin-portfolios
-https://bitcointreasuries.org/
-https://www.MicroStrategy.com/en/investor-relations
-https://finance.yahoo.com/quote/MSTR/financials?p=MSTR
-https://en.wikipedia.org/wiki/MicroStrategy#cite_note-2020-10-K-1
-https://www.cnbc.com/2021/02/24/MicroStrategy-buys-more-than-1-billion-worth-of-bitcoin-adding-to-massive-holdings.html#:~:text=MicroStrategy%20announced%20it%20has%20bought,the%20digital%20token%20at%2090%2C531.
-https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-02-08/bitcoin-is-the-scarcest-asset-MicroStrategy-ceo-saylor-says
-FX 1 USD = 30.71 THB
investor relations wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
แฟนต้า น้ำอัดลม ที่เกิดขึ้นเพราะสงคราม /โดย ลงทุนแมน
รู้ไหมว่า แฟนต้า น้ำอัดลมหลากสีสันที่เรารู้จักกัน
เกิดขึ้นมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
และรู้ไหมว่า ความเป็นมาของน้ำอัดลมแบรนด์นี้
มีความเกี่ยวข้องกับน้ำอัดลมแบรนด์ดัง โคคา-โคล่า
เรื่องนี้น่าสนใจอย่างไร?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
อีกครั้งกับกรณีศึกษาธุรกิจมากมายที่จะช่วยเปิดกว้างมุมมองความรู้ของคุณ
ใน ลงทุนแมน 13.0 เล่มล่าสุด สั่งซื้อได้แล้ววันนี้ที่
Lazada: https://www.lazada.co.th/products/130-i1587474257-s4309842746.html
Shopee: https://shopee.co.th/Longtunman-หนังสือลงทุนแมน-13.0-i.116732911.7453767586
╚═══════════╝
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1939-1945
ช่วงนั้น คือทศวรรษแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2
ซึ่งเป็นการสู้รบกันระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่ง อังกฤษ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต เป็นแกนนำ
กับฝ่ายอักษะซึ่งมี เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น เป็นแกนนำ
แม้ประเทศที่เป็นแกนนำจากทั้งสองฝ่าย
คือสหรัฐอเมริกา และ เยอรมนี จะมีอุดมการณ์แตกต่างกัน
แต่สิ่งหนึ่งที่คนทั้งสองประเทศชอบเหมือนกันคือ “โคคา-โคล่า”
โคคา-โคล่า เป็นเครื่องดื่มอัดลมกลิ่นโคล่าที่ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1892 ในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะเริ่มเป็นที่นิยมไปทั่วสหรัฐฯ และเริ่มขยายความนิยมไปทั่วโลกในเวลาต่อๆ มา
ก่อนสงครามจะเริ่มขึ้น เยอรมนี คือ ตลาดผู้บริโภค โคคา-โคล่า ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง
ที่น่าสนใจคือ ยอดขายของ โคคา-โคล่า ในเยอรมนีเพิ่มขึ้นจาก 1 แสนลัง ในปี 1933 เป็น 4 ล้านลัง ในปี 1939 หรือเติบโต 40 เท่า ในระยะเวลาเพียง 6 ปี เท่านั้น
แต่แล้วเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้น
ทั้ง 2 ฝ่าย ไม่เพียงแต่ใช้กำลังทหารในการทำสงครามเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงการทำสงครามทางการค้า ด้วยการสั่งห้ามค้าขายหรือส่งสินค้าออกไปยังประเทศที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับประเทศตนเอง
สงครามโลก ทำให้สหรัฐอเมริกาสั่งห้ามส่งออกสินค้าไปยังเยอรมนี ซึ่งรวมถึงวัตถุดิบสำหรับผลิต โคคา-โคล่า
จนทำให้ตัวแทนจำหน่ายโคคา-โคล่า ในเยอรมนี ขาดวัตถุดิบในการผลิต โคคา-โคล่า
พอเรื่องเป็นแบบนี้ คุณแม็กซ์ คีธ เจ้าของบริษัทตัวแทนจำหน่ายโคคา-โคล่า ในเยอรมนี และพนักงานในบริษัทของเขา จึงตัดสินใจคิดค้นน้ำอัดลมแบรนด์ใหม่ ที่จะใช้เฉพาะวัตถุดิบเท่าที่หาได้ในเยอรมนี
น้ำอัดลมที่ว่านี้ มีส่วนผสมคือ กากใยจากแอปเปิล, น้ำที่เหลือจากกระบวนการผลิตชีส
คุณแม็กซ์ คีธ เรียกชื่อน้ำอัดลมนี้ในตอนแรกว่า “แฟนตาเซีย (Phantasie)” ที่ในภาษาเยอรมันแปลว่า จินตนาการ
ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อ “แฟนต้า (Fanta)” เพื่อให้เรียกชื่อง่ายขึ้นในเวลาต่อมา
แฟนต้า เริ่มขายครั้งแรกในปี 1940
และทำยอดขายพุ่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
จนในปี 1943 แฟนต้ามียอดขายถึง 3 ล้านลัง
เรื่องที่น่าสนใจคือ ในช่วงแรก
แฟนต้า ไม่ได้ถูกนำไปดื่มเหมือนทุกวันนี้
แต่มักจะถูกนำไปใช้เพิ่มความหวานให้กับอาหาร
เนื่องจากช่วงสงคราม น้ำตาลจะหายากกว่าช่วงเวลาปกติ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945
คุณแม็กซ์ คีธ ได้ติดต่อกลับไปยังบริษัทแม่ของ โคคา-โคล่า ที่สหรัฐอเมริกาเพื่อขอรับความช่วยเหลือ
ซึ่งทางบริษัทแม่ของโคคา-โคล่า มองว่า เขาพยายามที่จะช่วยเหลือบริษัทและรักษายอดขายเอาไว้ในช่วงที่เกิดสงคราม
จึงทำให้เขาได้รับความไว้วางใจให้ดูแลธุรกิจโคคา-โคล่า ในเยอรมนีและยุโรปต่อไป
ขณะที่น้ำอัดลมแฟนต้า ถูกบริษัทโคคา-โคล่า นำไปทำการตลาดและปรับปรุงรสชาติให้มีมาตรฐานที่ดีขึ้นตั้งแต่ปี 1955
สรุปแล้วก็คือ แม้ตอนนี้ แฟนต้า จะเป็นแบรนด์ในเครือของ โคคา-โคล่า ที่มีต้นกำเนิดในสหรัฐอเมริกา
แต่แฟนต้า กลับมีจุดเริ่มต้นในประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศคู่อริสงครามของประเทศต้นกำเนิด โคคา-โคล่า อย่างสหรัฐอเมริกา นั่นเอง..
แล้วผลประกอบการของ โคคา-โคล่า ในปัจจุบันเป็นอย่างไร?
ปี 2018 รายได้ 994,000 ล้านบาท กำไร 200,700 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 1,200,000 ล้านบาท กำไร 278,300 ล้านบาท
ส่วนในประเทศไทย แฟนต้า ถูกผลิตและจัดจำหน่าย ภายใต้ 2 บริษัท ที่ได้รับสิทธิ์ในการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มของ โคคา-โคล่า คือ ไทยน้ำทิพย์ และหาดทิพย์
โดยไทยน้ำทิพย์ รับผิดชอบพื้นที่ขายใน 63 จังหวัดทั่วประเทศ
ส่วน หาดทิพย์ รับผิดชอบพื้นที่ขายใน 14 จังหวัดในภาคใต้
รายได้และกำไรของบริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด
ปี 2561 รายได้ 7,064 ล้านบาท กำไร 3,536 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้ 4,166 ล้านบาท กำไร 550 ล้านบาท
รายได้และกำไรของบริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน)
ปี 2561 รายได้ 5,723 ล้านบาท กำไร 249 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้ 6,792 ล้านบาท กำไร 441 ล้านบาท
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
แม้ว่าทั้งไทยน้ำทิพย์และหาดทิพย์ จะอยู่ภายใต้กลุ่มธุรกิจโคคา-โคล่า ในประเทศไทย และขายสินค้าเหมือนกัน
แต่ทั้ง 2 บริษัท มีความเป็นอิสระจากกัน และมีผู้ถือหุ้น คณะกรรมการ และผู้บริหารคนละชุด..
╔═══════════╗
อีกครั้งกับกรณีศึกษาธุรกิจมากมายที่จะช่วยเปิดกว้างมุมมองความรู้ของคุณ
ใน ลงทุนแมน 13.0 เล่มล่าสุด สั่งซื้อได้แล้ววันนี้ที่
Lazada: https://www.lazada.co.th/products/130-i1587474257-s4309842746.html
Shopee: https://shopee.co.th/Longtunman-หนังสือลงทุนแมน-13.0-i.116732911.7453767586
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://en.wikipedia.org/wiki/Fanta
-https://en.wikipedia.org/wiki/Max_Keith
-https://en.wikipedia.org/wiki/The_Coca-Cola_Company
-https://finance.yahoo.com/quote/KO/financials?p=KO
-https://www.haadthip.com/th/investor-relations/information-inquiry/faq
-https://www.mashed.com/136112/the-untold-truth-of-fanta/
investor relations wiki 在 Company Research: Google and Wikipedia - YouTube 的推薦與評價
In this video I cover using Google and Wikipedia to start your company ... Using the keywords, Investor Relations 1:24 - Using the keyword, ... ... <看更多>