ทุกวันนี้สิ่งที่ฉุดรั้งความสำเร็จ และความสุขของหลายคน
คือ “ความมักง่าย”
อยากได้อะไร ของ่าย ๆ ขอสบาย ๆ
ถ้าฟรีได้ ก็ขอนะ ไม่อยากลงทุน ไม่อยากลำบาก
ไม่อยากตั้งใจทำงาน เพื่อได้เงินมาต่อยอดทั้งอย่างอื่น
ไม่อยากจะเรียนอะไรที่ยากขึ้น ไม่อยากจะหาเวลาเรียนเพิ่มเติม ไม่อยากจะอ่านหนังสือ ไม่อยากฟัง podcast, youtube หรือสื่อดี ๆ แต่อยากได้เงิน อยากได้ความสำเร็จ อยากมีความสุข อยากมีทุกอย่าง
อยากได้เยอะ แต่ทำน้อย หรือ ไม่ทำ ก็ไม่ได้!!
พอไม่ได้ ก็บ่น ก็โบ้ย ก็พาล
บ่นคนที่ทำได้ ด่าคนที่ทำได้ว่าชีวิตดีกว่า โชคดีกว่า ไม่เคยเห็นตอนเขาลำบากใช่ไหม? ไม่เคยเห็นต้อนเขาล้ม หรือเสียน้ำตาใช่ไหม?
มันไม่มีความสำเร็จอะไรได้มากง่าย ๆ หรอกครับ
ต่อให้โตบนกองเงินกองทอง มันก็ไม่มีอะไรง่าย
มันต้องแยกมาด้วยเวลา การฝึกฝน การเรียนรู้ การลองผิดถูก มันต้องแลกความล้มเหลว คราบน้ำตา การถูกทรยศ การโดนดราม่า
.
.
คุณแค่เห็นเขาต้องทำได้แล้ว คุณไม่ได้เห็นทุกด้าน
มันไม่มีอะไรง่ายทั้งนั้น ไม่เคยง่าย ไม่เคยจริง ๆ
.
.
ดังนั้นถ้าอยากสำเร็จ อยากมีความสุข มันต้องลำบาก มันต้องฝึกฝน อดทน พากเพียร เรียนรู้ ตั้งใจ ต้องกล้าเจอคำวิจารณ์ ความล้มเหลว ต้องกล้าเผชิญหน้าความกลัว
ถ้าไม่คิดลงทุนอะไรกับตัวเอง ก็อยู่ที่เดิมไป ไม่ต้องทำอะไรมาก ถ้าเชื่อในอะไรที่แปลกประหลาดพิสดารก็ลองดู อยู่เฉย ๆ แล้วมันให้ลอยมา ลองดูซิว่ามันได้เยอะไหม บ่อยไหม ได้แค่ไหน
.
.
แต่ถ้าขี้เกียจรอ ลงมือทำ เริ่มก้าวแรกให้ได้
.
.
มันอาจจะเหนื่อย ไม่เป็นไร อาบน้ำ นอนพัก ลุกต่อ มันอาจจะโดนคำครหา คำวิจารณ์ ไม่เป็นไร อะไรจริง เอามาปรับแก้ อะไรไร้สาระ ขว้างมันทิ้ง - มันอาจจะเจอการหักหลัง ช่างแม่ง จะได้เหลือคนจริงใจไหว้ - มันอาจจะเจออะไรที่ไม่ได้ดั่งใจ ช่างมัน ทำดีที่สุดแล้ว ต้องวางใจให้ได้ และไปต่อ
โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี ไม่มีอะไรง่าย ทุกคน ทุกชีวิต ต้องแลกเปลี่ยน เกื้อกูล ให้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ต้องสนับสนุนกัน ต้องช่วยเหลือกัน มันปกติ
มักง่ายกับโลก โลกก็มักง่ายใส่
เห็นแก่ตัวกับโลก เดี๋ยวก็ได้ความเห็นแก่ตัว
ทำอะไรให้โลกแค่ไหน ก็ได้กลับแค่นั้น
ทำมาก ได้มาก ลำบากไว้เถิด จะเกิดผลเอง ;)
#Siwapat #WhiteRoad
การฝึกฝน คือ 在 Roundfinger Facebook 的最讚貼文
Outward Mindset:
กรอบคิดที่เปลี่ยนชีวิตและเปลี่ยนองค์กร
---
เป็นโอกาสที่ดีมากที่ผมได้นั่งสนทนาเพื่อเรียนรู้เรื่อง Outward Mindset กับองค์กรที่ใช้เรื่องนี้ในการบริหารจนเกิดความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ ฟังแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจมากครับ ทั้งในมิติการทำงานและชีวิตส่วนตัว วันนี้ขอนำมาเล่าสู่กันฟังครับ
องค์กรที่ว่าคือ ‘Food Passion’ ธุรกิจอาหารที่มีร้านอาหารชื่อดังอย่างบาร์บีคิวพล่าซ่า จุ่มแซบฮัท ร้านอาหารสุขภาพอย่าง Chana และอีกมากมายที่กำลังจะเกิดขึ้น เพียงเดินเข้าไปในบริษัทก็สัมผัสได้ถึงพลังวัยรุ่นและความกระตือรือร้นที่แผ่ซ่านอยู่ในผู้คน
“Outward Mindset เหมือนวิตามินซี” คุณเป้-ชาตยา สุพรรณพงศ์ CEO แห่ง Food Passion เปรียบไว้น่าสนใจ โดยบอกว่า Outward Mindset เป็นเสมือนตัวบูสต์ที่ช่วยเพิ่มพลังเมื่อองค์กรเจออุปสรรคที่ต้องข้ามผ่านไปให้ได้หรือต้องการก้าวไปสู่เป้าหมายที่ท้าทายมากขึ้น Outward Mindset จะช่วยให้ทีมเข้าใจกันมากขึ้น มีพลังมากขึ้น และมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น”
...
🔸️ Outward Mindset คือ กรอบคิดที่ขยายมุมมองออกไปนอกตัวเอง
คุณเป้สนใจเรื่องนี้ในช่วงเวลาที่บริษัทรวบรวมคนเก่งเข้ามาทำงานร่วมกันในองค์กร แต่ละคนเชี่ยวชาญในความถนัดของตัวเอง แต่พอคนเก่งมาทำงานด้วยกันสิ่งที่ท้าทายคือจะจัดการกับความขัดแย้งอย่างไร เพราะบางทีการมีคนเก่งเยอะกลับทำให้ประสิทธิภาพลดลง ทำงานช้าลง ถ้าทำงานแล้วไปไหลลื่นกลมกลืน นอกจากนั้นยังมองอนาคตว่าอยากทำให้องค์กรพัฒนาไปสู่เป้าหมายใหม่ได้ทุกปี ฉะนั้น สิ่งที่ต้องการคือพนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ ในทุกปี นี่คือสองโจทย์ใหญ่ที่ทำให้สนใจ Outward Mindset
คุณเป้มองว่าการที่คนในองค์กรจะเก่งขึ้นได้นั้นต้องอาศัยการทำงานร่วมกัน ทีมเวิร์กที่แข็งแรงขั้นสุดจะสร้างผลงานมหัศจรรย์ได้ แต่ความสัมพันธ์ของทีมไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการสั่งหรือบอกให้สามัคคีกัน รากลึกของความสัมพันธ์ที่ดีคือ mindset หรือกรอบคิดที่ถูกต้อง อันจะนำมาซึ่งความร่วมไม้ร่วมมือกัน
…
🔸️ Outward Mindset เปลี่ยนแปลงกรอบคิดเราอย่างไร
คุณเป้เปรียบได้น่าสนใจว่า กรอบคิดก็เหมือน ‘แว่นตา’ ในความเป็นจริงแล้วโลกรอบตัวหรือสิ่งต่างๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย แต่พอเราเปลี่ยนแว่นที่ใช้มอง เราจะเห็นสิ่งนั้นเปลี่ยนไป ซึ่งเป็นไปได้ตั้งแต่เพื่อนร่วมงาน สามี ภรรยา ลูก พ่อแม่ ฯลฯ พอมุมมองเปลี่ยน พฤติกรรมก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย นำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป
ตัวคุณเป้กับคุณพ่อซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่ามาเป็นคนคนละรุ่น มีวิธีบริหารจัดการและมุมมองที่ต่างกันทำให้ขัดแย้งกันในไอเดียอยู่บ่อยๆ แต่พอเรียนรู้เรื่อง Outward Mindset ก็ทำให้เห็น ‘เป้าหมายร่วมกัน’ ว่าแม้จะใช้กลวิธีแตกต่างแต่ทั้งคู่ก็มีเป้าเดียวกันคืออยากให้แบรนด์แข็งแรงและเติบโต จากนั้นใจก็เริ่มเปิดออก พยายามมองเห็นเจตนาที่ดีของคุณพ่อ ใช้แว่นคุณพ่อในการมองเรื่องต่างๆ บ้าง ทำให้สิ่งต่างๆ ที่พ่อพูดผ่านเข้ามาในหูเปลี่ยนแปลงไปหมดเลย คือรู้สึกว่าหลายๆ ไอเดียน่าสนใจ ไม่รู้สึกขัดใจเหมือนแต่ก่อน นั่นก็เพราะเปลี่ยนมุมไปลองสวมแว่นตาของคุณพ่อนั่นเอง
ฟังแล้วผมรู้สึกว่า Outward Mindset ต้องมาพร้อมสติ คือตระหนักรู้ว่าเรากำลังมองเรื่องนั้นด้วย ‘กล่อง’ ความคิดอันคับแคบของตัวเอง เห็นกรอบความคิดของตัวเองว่ามันจำกัด ทันทีที่เห็นเราก็จะมีโอกาสกระโดดออกจาก ‘กล่อง’ ความคิดตัวเองเพื่อลองไปอยู่ในกล่องความคิดคนอื่นบ้าง แล้วเราจะยอมรับความคิดของเขาได้มากขึ้นเมื่อไม่ปกป้องความคิดตัวเองในแบบเดิมอีกต่อไป
‘กล่อง’ ที่ว่านี้เกิดจากการสะสมผ่านประสบการณ์ที่มีร่วมกัน เช่น ถ้าเรารู้สึกมาตลอดว่าพูดอะไรไปคนที่อยู่ในตำแหน่งเหนือกว่าก็ไม่ฟังเราอยู่แล้ว เราก็จะปิดปากไม่ยอมพูด หรือถ้ารู้สึกว่าคนนี้เสนออะไรมาก็ไม่เคยถูกใจ เราก็จะปิดหูไม่ยอมฟัง เรามีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัวด้วย ‘กล่อง’ ที่สะสมจากอดีตอยู่เสมอ มองหน้าคนนี้ก็มีความรู้สึกบางอย่างในใจที่เป็นอคติไว้อยู่แล้ว ไม่ว่าบวกหรือลบ นี่เป็นเหตุผลให้เราไม่ค่อยรับฟังกัน
การรู้ตัวว่า ‘เราอยู่ในกล่องของตัวเอง’ จึงสำคัญ เพราะถ้าไม่รู้ ต่างคนก็จะต่างอยู่ในกล่องของตัวเองแบบนั้น ถ้าเป็นความสัมพันธ์ก็ไม่มีวันเข้าใจกัน ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานก็ยากที่จะรับฟังไอเดียและให้ความร่วมมือ
...
🔸️ Outward Mindset เปลี่ยนแปลงการทำงานอย่างไร
คุณเป้จึงชวนผู้บริหารระดับ C level ไปเรียนรู้เรื่อง Outward Mindset เพราะคิดว่าต้องเริ่มต้นจากผู้นำก่อน เพื่อให้ทุกคนร่วมวิ่งไปข้างหน้าด้วยกันโดยไม่มีอะไรฉุดรั้งหรือขัดขากัน บริษัทจะได้พุ่งไปสู่เป้าหมายร่วมกันอย่างรวดเร็ว โดยบอกกับทุกคนว่า “นี่คือของขวัญที่บริษัทอยากมอบให้คุณ โดยไม่เกี่ยวกับงาน แต่เชื่อว่าน่าจะมีผลดีกับชีวิตของคุณ และถ้าดีก็นำมาปรับใช้กับการทำงานได้ด้วย” ทีมงานระดับสูงจึงใช้เวลาไปกับการเทรนเรื่องนี้กับ SEAC โดยมีเป้าหมายว่าจะทำให้บริษัททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
หลังจากที่ทุกคนเทรนมาแล้ว คุณเป้นำมาใช้จริงในองค์กรอย่างจริงจัง เช่น ในการประชุมที่มีคนเข้าร่วมเยอะๆ เกิน 20 คน คุณเป้จะเปิดประชุมด้วยการให้ทุกคนเห็น ‘เป้าหมาย’ (ทำสัญลักษณ์สามเหลี่ยมหัวแหลม) ร่วมกันก่อนเพื่อปรับเป้าหมายทุกคนให้ตรงกัน “สามเหลี่ยมของเราคืออะไร” เช่น ต้องการให้แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จ ฯลฯ เพื่อให้ทุกคนเห็นเป้าหมายร่วมกันทำให้การประชุมราบรื่นขึ้น ร่วมมือกันมากขึ้น ต่างคนต่างเข้าใจคนที่มีบทบาทแตกต่างกัน แทนที่จะใช้เวลาในห้องประชุมไปกับการถกเถียงกันก็ใช้ไปกับการช่วยกันคิดและเสนอทางออก
คุณเป้บอกว่าในช่วงโควิดที่ผ่านมา Food Passion สร้างสรรค์สินค้าใหม่ๆ ออกมาเยอะมาก ที่ทำแบบนี้ได้ก็เพราะคนในองค์กรไม่ขัดแย้งกัน ทำให้ทุกอย่างไหลลื่น มี productivity สูงมาก ที่เห็นชัดคือในระหว่างร่วมงานกัน ทุกคนกล้าเสนอความคิดเห็นโดยไม่กลัวว่าคนอื่นจะขัดแย้ง ทำให้งานไปได้ไว สร้างสินค้าได้เร็ว
เรื่องของการให้บริการลูกค้าก็สามารถใช้ Outward Mindset ได้ด้วยเช่นกัน ถ้าพนักงานมีกรอบคิดที่คิดถึง ‘กล่อง’ หรือมุมมองของคนอื่นอยู่เสมอ หรือที่หลายคนเรียกว่า empathy ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อพนักงานไม่ยึดติดอยู่ใน ‘กล่อง’ ของตัวเอง ทำให้การตอบสนองลูกค้าเป็นไปอย่างธรรมชาติ เพราะคิดถึงใจลูกค้าก่อนตัวเอง รับฟัง พร้อมแก้ปัญหา ตระหนักถึงความทุกข์หรือความเดือดร้อนของเขา สิ่งนี้ก็เป็นเรื่องที่คุณเป้และ Food Passion ให้ความสำคัญ
…
หลังการสนทนาจบลง ผมรู้สึกสนใจ Outward Mindset ตรงที่มันเป็นหลักการที่ทำให้เรามองเห็นปัญหาของความสัมพันธ์ว่าตัวเราเองอยู่ใน ‘กล่อง’ ที่คับแคบและยึดติดอยู่ในนั้น ทำให้การร่วมมือหรือร่วมงานกับคนอื่นเป็นไปได้ยาก ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนรอบข้างไม่ราบรื่นนัก การมี mindset แบบ inward หรือมองเข้าตัวเองตลอดทำให้เราไม่สามารถเข้าใจคนที่แตกต่างได้เลย สิ่งนี้ส่งผลมหาศาลกับชีวิตและการงานของเรา
มีคนบอกว่า เราจะออกจาก ‘กล่อง’ ใบเล็กๆ ของเราได้ก็ต่อเมื่อเรามองเห็นและยอมรับก่อนว่าเราอยู่ใน ‘กล่อง’ ของตัวเองมาเนิ่นนาน ซึ่งการจะมองเห็น ‘กล่อง’ ใบนี้อาจต้องการการเรียนรู้ การฝึกฝน รวมถึงสติในการตระหนักเพื่อพัฒนากรอบคิดตัวเองให้ยืดหยุ่นและกว้างขึ้น
ความสำเร็จในชีวิตคนคนหนึ่ง ‘กรอบคิด’ เป็นเรื่องสำคัญ การมี Outward Mindset ทำให้เรามีความคิดที่กว้างและหลากหลายมากขึ้น รวมทั้งรู้สึกดีกับคนรอบตัวมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น อารมณ์ดีมากขึ้น
อ่านมาถึงตรงนี้ เริ่มเห็น ‘กล่อง’ ของตัวเองบ้างไหมครับ
---
⭐ สนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Outward Mindset กับ SEAC คลิก https://forms.gle/EqCum858CpZhK7t46
#สนับสนุนคอนเทนต์นี้โดยSEAC
การฝึกฝน คือ 在 หมอแพมชวนอ่าน Facebook 的精選貼文
#พรสวรรค์หรือพรแสวง (nature or nurture)
(free will, goal-directed persistence, mindset, focus and Grit)
.
ทำไมคนบางคนถึงเก่งไปซะทุกอย่าง?
ทำไมเด็กคนนั้น(ที่ไม่ใช่ลูกของเรา)เก่งจัง ทำอะไรก็ดีไปหมด?
ทำไมคนบางคนเรียนรู้ได้รวดเร็ว?
.
ความแตกต่าง ของความสามารถของมนุษย์ มาจากไหน?
เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด (talent)
เหมือนพร จาก สวรรค์ ก็ไม่ปาน
ถ้าไม่มี พรสวรรค์ ล่ะ
ลูกเราจะฝึกให้ทัดเทียมเด็กคนอื่นได้มั้ย?
.
ไม่นานมานี้ หมอเจอคำตอบเรื่องนี้ในหนังสือเรื่อง
PEAK: secrets from the new science of expertise
โดย Anders Ericsson
ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา ที่ทุ่มเทศึกษาเรื่องความสำเร็จของมนุษย์
เมื่อมารวมกับหนังสือเล่มอื่นๆที่เคยอ่าน
ก็พบว่า พูดเรื่องเดียวกัน แต่มองในมุมต่างกัน
.
ใจความสำคัญในหนังสือเรื่อง PEAK
#ฟันธง ให้เรารู้ว่า
การฝึกฝน #เหนือกว่า ความสามารถที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
.
แล้วพรสวรรค์ ไม่มีประโยชน์เลยหรือ
คำตอบคือ #มีแน่นอน
เด็กที่มีพรสวรรค์ด้านนั้นๆ
คือเด็กที่สามารถเรียนรู้ได้รวดเร็ว
การฝึกฝนเรียนรู้ของมนุษย์ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม
ในช่วงแรก (phase 1) จะมีกลุ่มคนที่เรียกว่า top performer
กลุ่มนี้ คือ กลุ่มที่คนทั่วไปเรียกว่า มีพรสวรรค์
ความได้เปรียบ คือ #เรียนรู้ได้รวดเร็วในช่วงแรก
แต่เมื่อสิ้นสุด phase I เมื่อมีพื้นฐานเท่าๆกัน
เช่น เล่นกีตาร์คอร์ดพื้นฐานได้เท่ากัน
มี basic ของกีฬานั้นๆเท่ากัน
สิ่งที่เพิ่มความสามารถของทักษะนั้นๆ
จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ
คือ #การฝึกฝนอย่างมีเป้าหมาย
.
ดังนั้น
เด็กที่มีพรสวรรค์ ช่วยเค้าได้เพียงแค่ช่วงแรก
แต่เด็กที่จะสามารถไปถึงเป้าหมายที่ตัวเองฝัน
หมอสรุปตามความเข้าใจของตัวเองจากที่อ่านหนังสือหลายๆเล่ม
คนที่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย จะต้องมีคุณสมบัติ
1.เจตน์จำนง ที่จะทำสิ่งนั้นด้วยตัวเอง (ความอยาก+ความชอบ = เจตจำนง)
คนเป็นพ่อแม่ จะส่งเสริมจุดนี้ได้ ด้วยการเปิดโอกาสให้ลูกได้ลองทำสิ่งต่างๆ
เพื่อค้นหา สิ่งที่เค้ามี #ความรู้สึกอยากทำ ด้วยตัวเอง
2. มีเป้าหมายที่ชัดเจน รู้จักวางเป้าหมายย่อยๆ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายใหญ่
พ่อแม่มีหน้าที่ เป็นโค้ช คอยให้คำปรึกษา อยู่เคียงข้าง ช่วยวางแผน แต่ไม่ต้องลงสนามไปเล่นแทน
.
♥ ในระหว่างที่กำลังเดินไปสู่เป้าหมาย จะต้องผ่านความผิดพลาด ล้มเหลว
เด็กที่จะประคองตัวเองไปให้ถึง แม้จะล้มกี่ครั้ง
ต้องเชื่อว่า ตัวเองพัฒนาได้ (growth mindset)
มองความผิดพลาด ว่าเป็นโอกาสในการพัฒนา มิใช่ ความล้มเหลว
และต้องทรหด ไม่ย่อท้อ (Grit) ล้มได้ ก็ลุกได้ โดยที่ยัง focus เป้าหมาย
.
เด็กที่มี พรสวรรค์ ถ้ามี พรแสวง ร่วมด้วย เค้าก็จะก้าวขึ้นสู่ความเป็นเลิศของด้านนั้นๆ (PEAK)
เด็กที่มี พรสวรรค์ แต่ถ้าถูกเลี้ยงดู ให้ไม่มีพรแสวง
ไม่อดทน ไม่ฝึกฝน ไม่มีความอยาก ก็ยากจะสำเร็จ
ในทางตรงกันข้าม เด็กที่พรสวรรค์น้อยกว่า แต่มีพรแสวง ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้เช่นกัน
.
ในยุคของ #ข้อมูล ที่เรามองความสำเร็จของคนอื่น
ดูเป็นเรื่องง่ายๆ
หมออยากยกคำพูดของ ไมเคิล แองเจโล ผู้ที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะ เป็นคนกล่าวไว้ว่า
.
“#ถ้าคุณรู้ว่าเค้าพยายามมากแค่ไหน
#คุณจะไม่เรียกใครว่าอัจฉริยะ”
.
หมอแพม