กรณีศึกษา ทำไมคนญี่ปุ่น ชอบถือเงินสด มากกว่าลงทุนในหุ้น /โดย ลงทุนแมน
รู้ไหมว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นนั้นก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1878 หรือเมื่อ 143 ปีที่แล้ว และมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นมากกว่า 2,000 บริษัท ในปัจจุบัน
และรู้หรือไม่ว่า ต้นปี 2021 มูลค่าของตลาดหุ้นญี่ปุ่นนั้นสูงกว่า 190 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
หลายคนอาจคิดว่า คนญี่ปุ่นคงชอบลงทุนในหุ้น มากกว่าสินทรัพย์อื่น
แต่ความจริงแล้ว กลับไม่เป็นเช่นนั้น..
แล้วคนญี่ปุ่นเมื่อมีเงินแล้ว พวกเขาเอาไปเก็บไว้ที่ไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
เราลองมาเทียบกันดูก่อนว่า ส่วนใหญ่แล้วคนญี่ปุ่นชอบถือครองสินทรัพย์อะไร และเมื่อเทียบกับประเทศอื่นอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป มีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน
ข้อมูลจากธนาคารกลางญี่ปุ่นระบุว่า ในปี 2018 ครัวเรือนญี่ปุ่น ถือครองสินทรัพย์มูลค่ารวมกันกว่า 558 ล้านล้านบาท
โดยจำนวนนี้ ถ้าแบ่งตามสัดส่วนจะเป็น
- เงินสดและบัญชีเงินฝาก 52%
- ประกันและบำนาญ 28%
- หุ้นและกองทุนรวม 15%
- อื่น ๆ 5%
ที่น่าสนใจคือ เมื่อเทียบกับคนยุโรปและคนอเมริกัน ที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นและกองทุนรวม ต่อมูลค่าสินทรัพย์ถือครอง เท่ากับ 28% และ 31% ตามลำดับ
จึงแสดงให้เห็นว่าคนญี่ปุ่นไม่ค่อยสนใจการลงทุนในหุ้นและกองทุนรวมมากนัก และยังชอบถือครองเงินสด ด้วยการฝากเงินไว้ในธนาคารจำนวนมากอีกด้วย
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในญี่ปุ่นนั้น อยู่ในระดับที่ต่ำมาต่อเนื่องหลายปี แม้กระทั่งในปัจจุบันก็อยู่ที่ประมาณ 0%
คำถามสำคัญก็คือ ทำไมคนญี่ปุ่น ยังเลือกที่จะฝากเงินกับธนาคารจำนวนมาก แทนที่จะนำเงินไปลงทุนในหุ้นและกองทุนรวม ที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ?
เหตุผลที่อธิบายเรื่องนี้ สามารถสรุปออกมาได้ 3 ประเด็น คือ
1. ประสบการณ์ที่เลวร้ายจากเหตุการณ์ฟองสบู่แตกครั้งใหญ่ในญี่ปุ่น
หลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945 ญี่ปุ่นก็เริ่มเข้าสู่ระยะของการฟื้นฟูประเทศ ช่วงหลังจากนั้นเป็นต้นมา เศรษฐกิจของญี่ปุ่นก็เติบโตแบบก้าวกระโดด
ในช่วงปี 1961-1971 เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตอย่างรวดเร็ว เฉลี่ยกว่า 9% ต่อปี และเติบโตมาอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา จนถึงในช่วงทศวรรษ 1980
ในตอนนั้น ผลกำไรของบริษัทในญี่ปุ่นอยู่ที่ระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท และธนาคารหลายแห่งมีการปล่อยกู้ให้แก่บริษัทจำนวนมาก
การเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้ทั้งบริษัทและผู้คนในญี่ปุ่นต่างร่ำรวย จนเกิดการเข้าไปเก็งกำไรราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์
ราคาหุ้นในตลาดปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ดัชนี Nikkei ที่สะท้อนตลาดหุ้นญี่ปุ่น พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง จนเกือบแตะ 40,000 จุด ในปี 1989 จากระดับประมาณ 8,000 จุดในปี 1982
พอเรื่องเป็นแบบนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นจำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 2.5% ในปี 1989 มาอยู่ที่ 6% ในปี 1990 เพื่อเพิ่มต้นทุนการกู้ยืม ไม่ให้เกิดการกู้ไปเก็งกำไรในสินทรัพย์ต่าง ๆ
จนสุดท้าย เมื่อแรงเก็งกำไรเริ่มอ่อนลง ก็ถึงคราวฟองสบู่ลูกใหญ่ระเบิดออก
ราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ และราคาอสังหาริมทรัพย์ ก็เริ่มปรับตัวลดลง และลดลงเรื่อย ๆ จนหลายคนเจ็บตัวอย่างหนักจากการลงทุน
วิกฤติฟองสบู่ครั้งใหญ่ในครั้งนั้น ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นหลังจากนั้นมาหลายสิบปีแทบจะหยุดอยู่กับที่ และเป็นแบบนี้มาแล้วราว 3 ทศวรรษ
ซึ่งนี่เองเป็นหนึ่งเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมาก รู้สึกขยาดกับการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้น รวมทั้งยังปลูกฝังความคิดนี้มายังรุ่นลูกรุ่นหลานต่อ ๆ มา จนถึงตอนนี้
2. ภาวะเงินเฟ้อฝืด
ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ส่งผลโดยตรงต่อภาคครัวเรือน
รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนของคนญี่ปุ่นนั้นลดลง จากการที่หลายคนต้องตกงาน ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลโดยตรงต่อการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ
ข้อมูลจาก Statista ระบุว่า ในช่วงปี 1990-2020
ญี่ปุ่นประสบกับภาวะเงินฝืด (เงินเฟ้อติดลบ) ทั้งหมด 14 ปี
ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะเงินฝืด นั่นหมายความว่า ราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มที่จะลดลง
พอเรื่องเป็นแบบนี้ ชาวญี่ปุ่นจึงเกิดแรงจูงใจในการถือเงินสด มากกว่าที่จะนำเงินออกไปใช้จ่าย หรือชะลอการใช้จ่ายออกไปก่อน เพราะพวกเขาเชื่อว่า ในอนาคตเงินจำนวนเท่าเดิมนั้นจะสามารถซื้อสินค้าและบริการได้มากกว่าในปัจจุบัน และนำเอาเงินไปฝากกับธนาคารไว้ก่อนนั่นเอง
3. ความรู้ ความเข้าใจด้านการเงิน ของคนญี่ปุ่น
หลายคนคงแปลกใจถ้าบอกว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น มีคนจำนวนไม่น้อยที่ขาดความรู้ด้านการเงิน
ซึ่งเรื่องนี้ มีผลการสำรวจของธนาคารกลางญี่ปุ่นระบุว่า ประชาชนชาวญี่ปุ่นนั้นมีความรู้ด้านการเงินน้อยกว่าประชาชนในประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเยอรมนี
การขาดความรู้ความเข้าใจทางด้านการเงิน ทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมาก กลัวการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง และชอบในการเก็บเงินออมด้วยการฝากธนาคารที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า
นอกจากนี้ โรงเรียนในญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องการลงทุนเท่าที่ควร โดยศาสตราจารย์ Nobuyoshi Yamori ที่สอนสาขาวิชาเศรษฐกิจและธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยโกเบ ระบุว่า
“โรงเรียนส่วนใหญ่ในญี่ปุ่น ใช้เวลาสอนเรื่องการเงินการลงทุนให้นักเรียนน้อยมาก ขณะที่ครูที่มาสอนวิชาดังกล่าวก็ไม่ได้รับการฝึกอบรม หรือมีความรู้ ความเข้าใจ ในด้านการเงินการลงทุนที่ดีมากนัก”
จึงทำให้เด็กญี่ปุ่นจำนวนมากขาดความรู้ด้านการเงิน ซึ่งส่งผลให้เมื่อทำงานมีรายได้แล้ว พวกเขาเลือกที่จะฝากเงินกับธนาคาร มากกว่านำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ โดยเฉพาะหุ้น
อ่านมาถึงตรงนี้ เราก็น่าจะเข้าใจว่าทำไมที่ผ่านมา คนญี่ปุ่นจำนวนมากตัดสินใจถือเงินสด หรือฝากเงินไว้กับธนาคารอย่างมากและไม่ค่อยชอบการลงทุนในหุ้นมากนัก ทั้ง ๆ ที่ญี่ปุ่นก็เป็นประเทศที่มีตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้ไหมว่าปัจจุบัน เงินเยนของญี่ปุ่น เป็นสกุลเงินที่ถูกใช้ซื้อขายบิตคอยน์มากที่สุดอันดับที่ 2 ของโลก เป็นรองเพียงแค่เงินดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งเราอาจบอกได้ว่า แม้คนญี่ปุ่นจำนวนมาก จะไม่ชอบสินทรัพย์เสี่ยงสูง และนิยมฝากเงินไว้ในธนาคาร
แต่ในทางกลับกันก็มีคนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย ที่หันมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง อย่างบิตคอยน์
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.stat.go.jp/english/data/handbook/pdf/2020all.pdf
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.KD.ZG?locations=JP
-https://en.wikipedia.org/wiki/Tokyo_Stock_Exchange
-https://www.statista.com/statistics/710680/global-stock-markets-by-country/
-https://tradingeconomics.com/japan/deposit-interest-rate
-https://en.wikipedia.org/wiki/Demographics_of_Japan
-https://data.worldbank.org/country/JP
-https://en.wikipedia.org/wiki/Lost_Decades
-https://www.statista.com/statistics/270095/inflation-rate-in-japan/
-https://www.fsa.go.jp/frtc/kenkyu/event/20150305/s3_2.pdf
-https://www.investopedia.com/tech/top-fiat-currencies-used-trade-bitcoin/
-https://globalriskinsights.com/2021/06/japans-cryptocurrency-market-set-to-bloom-or-wither/
同時也有3部Youtube影片,追蹤數超過1萬的網紅TRADERIDER,也在其Youtube影片中提到,โบรกเกอร์ IC Markets ก่อตั้งขึ้นในปี 2007 ที่ซิดนีย์ประเทศออสเตรเลีย ในด้านของชื่อเสียงนั้นก็ถือได้ว่า โบรกเกอร์ IC Markets เป็นโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสีย...
「ดัชนี คือ」的推薦目錄:
- 關於ดัชนี คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於ดัชนี คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於ดัชนี คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於ดัชนี คือ 在 TRADERIDER Youtube 的最佳解答
- 關於ดัชนี คือ 在 TRADERIDER Youtube 的最佳貼文
- 關於ดัชนี คือ 在 WOODY Youtube 的最讚貼文
- 關於ดัชนี คือ 在 "ดัชนีหุ้น" คืออะไร? สำคัญยังไง? | Q&A EP.16 的評價
- 關於ดัชนี คือ 在 ดัชนี CPI คืออะไร | ตอบโจทย์ | By Thai PBS - Facebook 的評價
ดัชนี คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
สรุปประเด็นจากกองทุนบัวหลวง
เปิดสูตรเฟ้นหา หุ้นอนาคตในอเมริกาเข้าพอร์ตระยะยาว
BBLAM x ลงทุนแมน
อังคารที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา ลงทุนแมนได้ชวนผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, Head of Investment Strategy กองทุนบัวหลวง
มาพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นการเฟ้นหาหุ้นอนาคตในอเมริกาเข้าพอร์ตระยะยาว
โดยเริ่มตั้งแต่อัปเดตสถานการณ์ล่าสุดในสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มเปิดเผยตัวเลขทางเศรษฐกิจในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ไปจนถึงผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ในไตรมาสที่ 2
ตัวเลขเหล่านี้กำลังส่งสัญญาณอะไร ?
เราจะมีวิธีการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง..
มาเริ่มต้นกันที่ สรุปภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐอเมริกา เกิดอะไรบ้างในช่วงที่ผ่านมา ?
ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกา มีการทำ QE หรือ การซื้อสินทรัพย์ เช่น พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ เพื่อให้ระบบมีเงินหมุนเวียนมากขึ้น ทำให้ภาพรวมตลาดหุ้นสามารถดำเนินต่อไปได้
โดยประเด็นหลักที่ตลาดยังคงจับตามองในปีนี้คือ การลดขนาดการเข้าซื้อสินทรัพย์ หรือที่เรียกว่า QE Tapering ซึ่งประธาน FED ออกมาพูดว่า การทำ Tapering จะเริ่มขึ้นในปีนี้ และเป็นการตัดสินใจแยกกันกับ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
หมายความว่า หากเริ่มทำ Tapering ดอกเบี้ยก็ไม่จำเป็นจะต้องปรับขึ้นในทันที
นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกาจะยังใช้นโยบายการเงินที่ค่อนข้างผ่อนคลายต่อไป ทำให้ตลาดสหรัฐอเมริกา กลับมาเป็นขาขึ้น และเงินก็จะวิ่งเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง
ซึ่งทางกองทุนบัวหลวงคาดว่า FED จะค่อย ๆ ลดการทำ QE ลงโดยจะใช้เวลาประมาณ 8 เดือน และ FED มีแนวโน้มจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในปี 2024 แต่ก็ยังเป็นอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ
ดังนั้น นโยบายโดยรวม จึงยังเอื้ออำนวยให้การลงทุนในตลาดหุ้นยังให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ ไปอีกสักระยะ
แต่ก็ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่อาจทำให้ FED ชะลอการทำ QE Tapering ได้ เช่น ตัวเลขการจ้างงาน ที่ต่ำกว่าตลาดคาดการณ์ไปมาก
อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง คือ เงินเฟ้อ ที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 5.4%
ถึงแม้ว่า ราคา สินค้าโภคภัณฑ์บางตัว ลดลงมาแล้ว เช่น ราคาไม้ ทองแดง แต่ราคาบ้านและค่าเช่าบ้านในสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่ลดลงมา ก็อาจทำให้เงินเฟ้อยังคงสูงได้
แล้วโหมดการลงทุนช่วงนี้ต้องปรับ หรือจับสัญญาณต่ออย่างไรดี ?
กองทุนบัวหลวงก็เชื่อว่าในระยะสั้น เงินจะยังไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง และเงินยังอยู่ในหุ้นสหรัฐอเมริกา
โดยในเดือนที่ผ่านมา ผู้จัดการกองทุนหลายรายในสหรัฐอเมริกาเข้าลงทุนกลุ่ม Healthcare มากที่สุด
จากความต้องการหาการลงทุนในเชิงคุณภาพ และหุ้นใหญ่ที่ปลอดภัย และที่ผ่านมากลุ่ม Healthcare ยังถือเป็นกลุ่มที่ Laggard หรือเติบโตได้ช้า เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น
แต่ถ้าหากดูกลุ่มที่ผู้จัดการกองทุนมีการถือครองมากที่สุด ก็ยังคงเป็นกลุ่มเทคโนโลยี
ถ้าเทียบระหว่างเทคโนโลยีที่เป็น Hypergrowth อย่างเช่น หุ้น Tesla, Roku, Shopify กับ ดัชนี Nasdaq ที่ เป็นหุ้นเทคโนโลยีใหญ่ ๆ เช่น Microsoft, Facebook, Amazon ก็จะเห็นว่าในภาพรวม เงินไหลออกจากกลุ่ม Hypergrowth มาเข้าฝั่ง Nasdaq
ซึ่งปริมาณเงินส่วนที่ไหลเข้ามาในตลาด Nasdaq ยังอยู่ที่ประมาณค่าเฉลี่ย ซึ่งหมายความว่า ไม่น่าเกิดฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยี อย่างที่หลายคนกังวล
โดย Nasdaq ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีเพิ่มมา 18% ประกอบกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ยังมีผลกำไรที่ยังเติบโตต่อเนื่อง
กองทุนบัวหลวงมองว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีได้ต่อไป แต่อาจต้องใช้วิธี Active Management หรือการบริหารพอร์ตเชิงรุก เพื่อหาบริษัทที่มูลค่ายังไม่สูงเกินไป
นอกจากนั้น กองทุนบัวหลวงยังมองว่าในสามเดือนสุดท้ายของปีนี้ เงินจะยังอยู่ในฝั่งตลาดพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น เนื่องจากมีความสามารถในการบริหารจัดการโควิด 19 ได้ดี และมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เศรษฐกิจกลับคืนสู่ภาวะปกติได้เร็ว
สำหรับรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐอเมริกา ในไตรมาสที่ผ่านมา ถือว่าเติบโตได้ดีมาก
ผลกำไรภาพรวมของตลาด ออกมาสูงกว่าตลาดคาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความเสี่ยงและความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ จากห่วงโซ่การผลิตที่มีปัญหาและค่าจ้างที่สูงขึ้น ซึ่งกองทุนบัวหลวงมองว่า เป็นเพียงระยะสั้น และจะคลี่คลายในระยะปานกลางจนกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
คำถามต่อมาคือ S&P 500 จะสามารถไปได้ต่ออีกหรือไม่ และแพงไปแล้วหรือยัง ?
ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นมา ตามกำไรของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นมาต่อเนื่อง และนักวิเคราะห์มีการปรับประมาณการเป้าหมาย S&P 500 เป็น 4,600 (ตอนนี้อยู่ที่ราว ๆ 4,500) หมายความว่า ดัชนี S&P 500 จะยังคงไปต่อได้
อีกทั้งสหรัฐอเมริกายังเป็นตลาดการเงินที่สภาพคล่องสูงที่สุดในโลก รวมไปถึงมีบริษัทที่มีคุณภาพดีมากที่สุดในโลก ทำให้ P/E ที่ 20 เท่า ก็ยังสามารถลงทุนได้
แล้วควรลงทุนเมื่อไร ดอกเบี้ยขึ้น จับจังหวะอย่างไร ?
ถ้าเราลองย้อนไปดูสถิติ 12 เดือนก่อนที่จะมีการขึ้นดอกเบี้ย จะเห็นว่าตลาดสามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถปรับตัวขึ้นได้อีกหลังจากที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นครั้งแรก
โดยกองทุนบัวหลวง แนะนำหนึ่งเทคนิคที่น่าสนใจ คือให้เข้าสะสมแบบมีวินัย ลงทุนแบบสม่ำเสมอ หรือ DCA เนื่องจากการจับจังหวะตลาดสหรัฐอเมริกา หรือไม่ว่าตลาดไหน ๆ เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
ทีนี้หลายคนคงกังวลว่า เงินทุนเริ่มไหลออกจากกลุ่ม Hypergrowth แล้วเงินส่วนนี้ย้ายไปอยู่ที่ไหน ?
จากที่ได้กล่าวมาข้างต้น คือปัจจุบัน เงินทุนไหลออกจากหุ้นในกลุ่ม Hypergrowth แต่ปรากฏว่าดัชนี Nasdaq นั้นยังคงปรับตัวสูงขึ้น ที่เป็นแบบนี้เพราะเงินกำลังไหลไปยังบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ๆ นั่นเอง
หลายคนอาจมองว่า บริษัทเหล่านี้น่าจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด 19 แต่กลับกลายเป็นว่า จากวิกฤตินี้ทำให้คนหันมาพึ่งเทคโนโลยีกันมากขึ้น
โดยสังเกตได้จากรายได้ของบริษัทเทครายใหญ่ ที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเรื่องของแผนในอนาคตที่น่าจับตามอง ทำให้นักลงทุนยังคงให้ความสนใจ
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Facebook และ Microsoft
Facebook เป็นบริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, WhatsApp ที่มีรายได้หลักมาจากค่าโฆษณาออนไลน์
โดยจุดเด่นของ Facebook คือ ความสามารถในการยิงโฆษณาที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ พร้อมทั้งยังมีโอกาสเติบโตไปกับอุตสาหกรรมสื่อออนไลน์อีกมาก เนื่องจากโควิด 19 ก็เป็นตัวเร่งที่ทำให้คนหันมาพึ่งเทคโนโลยีกันมากขึ้น
สำหรับแผนในอนาคตของ Facebook นั้นยังคงเป็นเรื่องของแผนการปรับตัวให้บริษัทเป็น บริษัท “Metaverse” หรือโลกแห่งการผสมผสาน ระหว่างโลกจริงและโลกเสมือน อย่างเต็มตัว
โดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก CEO ของ Facebook มองว่า โลกของ Metaverse จะกลายเป็นอนาคตของโลกอินเทอร์เน็ต โดยล่าสุดก็ได้มีการเปิดตัว Horizon Workrooms ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปประชุมได้แบบเสมือนจริง ผ่านตัวละคร Avatar
มาต่อกันที่บริษัทซอฟต์แวร์ที่เราคุ้นเคยกัน อย่าง “Microsoft” ซึ่งในปีที่ผ่านมายังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยมูลค่าบริษัทยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ก็เนื่องมาจาก ผลประกอบการในไตรมาสที่ผ่านมา ที่ยังคงเติบโต 17% จากบริการ Intelligence Cloud ที่เติบโตได้ดี
แต่ที่น่าสนใจคือเรื่องของแผนในอนาคต อย่างการทำโลกเสมือน หรือที่ทาง Microsoft เรียกว่า Digital Twin ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการทำ Metaverse ของ Facebook แต่จะเป็นการก๊อบปี้ของจริงมาไว้บนโลกออนไลน์แทน เช่น จำลองสถานที่ จำลองตึก เพื่อนำมาใช้ทดสอบการบินของโดรนก่อนเอาออกไปใช้งานจริง
ทั้งนี้ในส่วนของ Theme โลกเสมือนนั้น อาจมีความเสี่ยง เรื่องที่จะต้องใช้เวลาอีกไม่น้อย กว่าที่เราจะได้สัมผัสแบบเต็ม ๆ
แต่นี่เป็นเหมือนการส่งสัญญาณว่าบริษัทเทคโนโลยีหลายรายกำลังตื่นตัวกับการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ และมีการเตรียมพร้อม มองหาช่องทางการเติบโตใหม่ ๆ หรือที่เรียกว่า New S-Curve อยู่ตลอดเวลา
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะเริ่มสงสัยแล้วว่า แล้วกระแสเงินลงทุนที่ดูมีการเปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางเช่นนี้ จะมีผลกระทบกับกองทุน B-USALPHA และ B-FUTURE แค่ไหน ?
สำหรับกองทุน B-USALPHA นั้น หลายคนอาจจะคิดว่ากองนี้มีแต่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างเดียว
แต่ถ้ามาดูสัดส่วนของหุ้นในพอร์ตการลงทุนนั้นจะพบว่า กองทุนพยายามให้ความสมดุลระหว่างหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี กับกลุ่มวัฏจักรในสหรัฐอเมริกา โดยกองทุนนี้มีแบ่งส่วนการลงทุนด้วยกันหลัก ๆ 3 อย่าง คือ
1. กลุ่ม Digital Advertising เช่น Facebook, Pinterest, Snap
2. กลุ่ม สถาบันการเงิน เช่น Morgan Stanley, PayPal, Square
3. กลุ่ม Technology Enabled หรือก็คือ ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีสร้างนวัตกรรม เช่น Deere & Company, Freeport-McMoRan, Zillow Group
ทั้งกลุ่ม Digital Advertising และ Technology Enabled นั้นยังมีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับการเปิดเมือง
ส่วนการลงทุนในกลุ่มสถาบันการเงิน จะช่วยสร้างสมดุล และลดความเสี่ยงของพอร์ตในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่อาจปรับตัวสูงขึ้น ที่ทำให้กลุ่มของธุรกิจสถาบันการเงินนั้นได้รับประโยชน์ไปด้วย จากอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับสูงขึ้น
ส่วนกองทุน B-FUTURE นั้น มีการกระจายลงทุนในธุรกิจ 3 กลุ่มคือ เทคโนโลยี Hypergrowth, อุตสาหกรรม และกลุ่มธุรกิจ Theme เปิดเมือง
โดยในส่วนของกลุ่ม Hypergrowth นั้น ทางผู้จัดการของกองทุน ก็ได้เน้นอย่างมาก กับการลงทุนในหุ้นที่ยังมี Valuation ไม่สูงจนเกินไป
นอกจากนี้ ทางกองทุนยังเน้นการลงทุนใน Theme อนาคต ไม่ได้เจาะจงในประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยมีผู้จัดการกองทุนที่คอยปรับพอร์ตตามสถานการณ์การลงทุนต่าง ๆ
ด้วยนโยบายการบริหารแบบ Active Management ทำให้ B-FUTURE สามารถปรับเปลี่ยนพอร์ตให้เข้ากับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา
เช่น หากมองว่าในระยะยาว หุ้นกลุ่มเอเชียหรือจีน ยังมีโอกาสเติบโตมาก ความกดดันของรัฐบาลจีนคลี่คลายลง แล้วยังมี Valuation ที่ไม่สูงเกินไป ทางกองทุนก็สามารถปรับน้ำหนักพอร์ตมาลงในหุ้นเอเชียหรือจีนเพิ่มขึ้นได้
ทำให้เห็นว่า B-FUTURE นั้นเป็นกองทุนที่สามารถทยอยสะสมเข้าได้เรื่อย ๆ และเหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลามาก แต่อยากลงทุนในหุ้นแห่งอนาคต
สำหรับใครที่กำลังมองหาโอกาสในการลงทุน จากหุ้นในสหรัฐอเมริกา หรือหุ้นใน Theme อนาคต
ทั้งกองทุน B-USALPHA และ B-FUTURE ก็ยังเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทน ได้โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล พร้อมคอยปรับพอร์ตการลงทุนให้ในระยะยาว ซึ่งการใช้กลยุทธ์ DCA ทยอยลงทุนทุกเดือนก็เป็นวิธีการที่น่าสนใจ
คำเตือน
การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น) / ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน / กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ทั้งนี้อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้นผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
ดัชนี คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
Rick Guerin นักลงทุนที่ บัฟเฟตต์ เคยยกย่อง แต่โลกลืม /โดย ลงทุนแมน
เมื่อพูดถึงนักลงทุนรุ่นเก๋า เราก็น่าจะคุ้นเคยกับสองคู่หูแห่ง Berkshire Hathaway
คือ Warren Buffett และ Charlie Munger
ทั้งคู่ถือเป็นนักลงทุนต้นแบบด้านการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
จากการที่อยู่ในตลาดหุ้นมาแล้วหลายทศวรรษและยังประสบความสำเร็จ
รวมถึงเป็นผู้คอยให้คำแนะนำแก่เหล่านักลงทุนหน้าใหม่
แต่รู้หรือไม่ว่า ก่อนหน้านี้ในปี 1970 Berkshire Hathaway ยังมีหุ้นส่วนอีกคนหนึ่ง
มีชื่อว่า “Rick Guerin” ผู้ที่ได้รับการยกย่องจาก Buffett ว่าเป็นคนที่เฉลียวฉลาดที่สุดในกลุ่ม
โดยกองทุนที่เขาบริหารส่วนตัวสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 33% ต่อปี
ติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนานถึง 19 ปีด้วยกัน
แล้วทำไมอยู่ดี ๆ เขาถึงกลายเป็นนักลงทุนที่ถูกลืม ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Rick Guerin เกิดที่ลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ปี 1929
เขาเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 6 ขวบ โดยประกอบอาชีพเป็นคนส่งน้ำแข็งและหนังสือพิมพ์
Guerin ได้เข้าศึกษาระดับมหาวิทยาลัย สาขาเอกคณิตศาสตร์
และเมื่อจบการศึกษา เขาก็ได้เข้าทำงานเป็นเซลส์แมนที่ IBM
หลังจากนั้นจึงได้เข้าสู่วงการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์
แม้ว่า Guerin จะย้ายมาทำงานในแวดวงการลงทุนแล้ว
แต่เขาก็ยังไม่เคยบริหารเงินทุนมาก่อน โดยคนที่ทำให้เขาเข้าสู่วงการนี้ไม่ใช่ใคร
เขาคนนั้นก็คือ Munger นั่นเอง ซึ่งพวกเขาได้รู้จักกัน
ในช่วงที่ Munger กำลังเข้าสู่วงการลงทุนแบบเต็มตัว
ช่วงเวลานั้น Munger เห็นว่า Guerin มีความสนใจในวงการการลงทุนอย่างมาก
จึงตัดสินใจชวนให้เขาเข้ามาทำงานร่วมกันที่บริษัทด้านการลงทุนของตน
และที่แห่งนี้เอง เป็นสถานที่ที่ทำให้เขาเข้าใจโลกการลงทุนมากยิ่งขึ้น
แม้ว่า Guerin จะไม่ได้จบสายการเงินหรือแม้กระทั่งสายธุรกิจ
แต่เขาสามารถเรียนรู้และเข้าใจเรื่องการลงทุนแบบเน้นคุณค่าได้อย่างรวดเร็ว
ขนาด Buffett เองยังยอมรับทักษะและความคิดด้านการลงทุนของเขา
หลังจากร่วมงานกับ Munger ไปสักระยะเวลาหนึ่ง จนเริ่มมีฝีมือ
Guerin ก็ออกมาบริหารกองทุนของตัวเอง ที่มีชื่อว่า “Pacific Partners”
สไตล์การลงทุนของ Guerin คือการเลือกกิจการพื้นฐานที่ดีและราคาที่ถูก
ตรงตามต้นตำรับการลงทุนเน้นคุณค่าของคู่หู Buffett และ Munger
และจากการที่เขามีแนวคิดการลงทุนและนิสัยใจคอที่ใกล้เคียงกัน
นั่นทำให้เขาได้กลายมาเป็นหุ้นส่วนกับ Berkshire Hathaway ในเวลาต่อมา
หากดูหุ้นในพอร์ตของเขาเทียบกับ Buffett และ Munger จะพบว่าคล้ายกันมาก
จากเรื่องนี้เองทำให้พวกเขาทั้งสามคนมักจะพูดคุยและร่วมเข้าซื้อกิจการด้วยกัน
การเข้าซื้อกิจการที่โด่งดังที่ Guerin มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจคือ Blue Chip Stamps
Blue Chip Stamps เป็นบริษัทที่ทำคูปองส่วนลดให้แก่ร้านค้าปลีก เพื่อให้แต่ละรายนำไปแจกจ่ายให้ลูกค้าต่อ สำหรับการสร้าง Brand Loyalty
เหตุผลที่พวกเขาเข้าซื้อกิจการแห่งนี้เพราะว่า จะได้ใช้ Float ของบริษัทหรือเงินสดที่ได้รับจากการออกคูปอง แต่ยังไม่มีใครมาเคลม สำหรับเข้าซื้อกิจการอื่น ๆ ต่อไป
โดยกิจการที่ใช้เงินจาก Float ในการเข้าซื้อ ตัวอย่างเช่น
See's Candy ร้านขนมหวาน
Wesco Financial บริษัทด้านการเงิน
The Buffalo Evening News สำนักพิมพ์
การลงทุนเหล่านี้ล้วนสร้างผลตอบแทนดีและก็ได้กลายเป็นรากฐานของ Berkshire Hathaway ที่เรารู้จักในปัจจุบัน ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าการดีลครั้งนี้ ถือเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ Berkshire Hathaway ยิ่งใหญ่ได้
อย่างไรก็ตาม แม้แนวทางการเลือกหุ้นของพวกเขาจะคล้ายกัน
แต่สิ่งที่ทำให้ Guerin แตกต่างออกไปคือ “การใช้มาร์จินในการซื้อหุ้น”
การใช้มาร์จิน คือ การกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อนำมาซื้อหุ้น
ยกตัวอย่าง เช่น หากเรามีเงิน 100,000 บาท คิดว่าหุ้น A กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น
แต่เราอยากได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ก็เพียงกู้เงินจากโบรกเกอร์อีก 100,000 บาท
เพื่อเพิ่มอำนาจในการซื้อเป็น 2 เท่า
ถ้าหุ้นขึ้น 10% ปกติเราจะได้กำไร 10,000 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 10%
แต่ถ้าใช้มาร์จิน เราจะได้กำไรเป็น 2 เท่า คิดเป็น 20,000 บาท ผลตอบแทนกลายเป็น 20%
ก่อนหักด้วยค่าดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงิน
ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้มีนักลงทุนหลายรายชอบใช้มาร์จินสำหรับการซื้อหุ้น
รวมถึง Guerin ก็เช่นเดียวกัน ที่ต้องการจะรวยได้อย่างรวดเร็ว
จากการใช้มาร์จินส่งผลให้กองทุนของเขาช่วง 8 ปีแรก
มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 55% ต่อปี
ซึ่งมีเพียงปีเดียวที่ขาดทุน และขาดทุนแค่ 7% เท่านั้น
หมายความว่าในช่วงเวลาดังกล่าว
หากใครที่นำเงินไปลงทุนในกองทุนของเขา มูลค่า 1,000,000 บาทเป็นระยะเวลา 8 ปี
เงินก้อนนั้นจะเติบโตเป็น 33,000,000 บาท เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม เหรียญมีสองด้านเสมอ
หากมาร์จินสามารถสร้างผลตอบแทนที่มหาศาลแล้ว
ในทางกลับกัน มาร์จินที่ผิดทางก็ทำให้เราขาดทุนมหาศาล เช่นกัน
ดังนั้นเห็นได้ว่าการใช้มาร์จินมีความเสี่ยงอย่างมาก
เพราะถ้าหากเราทายผิด มีโอกาสขาดทุนอย่างมหาศาล
ซึ่งเหตุการณ์ที่น่ากลัวนี้เองได้เกิดขึ้นกับ Guerin ในที่สุด
เมื่อตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเผชิญกับวิกฤติช่วงปี 1973-1974
เนื่องจากนโยบายด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดี Richard Nixon
ไม่สามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ ซ้ำร้ายยังเจอ OPEC ร่วมกันงดส่งออกน้ำมันไปยังสหรัฐอเมริกา
ส่งผลให้ในปี 1973 และ 1974 นักลงทุนต่างพากันวิตกกังวลและเทขายหุ้น
ดัชนี S&P จึงลดลงถึง 14.8% และ 26.4% ตามลำดับ
และด้วยความที่ Guerin ใช้มาร์จินเพื่อทวีคูณผลตอบแทน
แต่พอผิดทาง ผลตอบแทนของกองทุน Pacific Partners จึงติดลบหนักกว่าตลาด
ปี 1973 อัตราผลตอบแทนของ Pacific Partners อยู่ที่ -42%
ในขณะที่ปีต่อมา อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ -34.4%
หากใครลงทุนเมื่อต้นปี 1973 ด้วยเงินจำนวน 1,000,000 บาท
สิ้นสุดปี 1974 จะเหลือเพียง 382,800 บาทเท่านั้น
จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้ Guerin โดนบังคับต้องขายหุ้นบางส่วนที่มีออกมา
เพื่อปิดสถานะการขาดทุนที่ถือเอาไว้
ซึ่งหนึ่งในหุ้นที่ขายออกมานั้นคือ Berkshire Hathaway
เรื่องนี้เอง ได้ทำให้ความเป็นพาร์ตเนอร์ของเขากับ Buffett และ Munger สิ้นสุดลง
โดยเขาได้ขายหุ้น Berkshire Hathaway คืนให้กับ Buffett ในราคาที่ต่ำกว่า 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น
ซึ่งถ้าเรามาดูราคาหุ้น Berkshire Hathaway ในปัจจุบัน
อยู่ที่ประมาณ 419,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น
หมายความว่าถ้า Guerin ไม่ได้ขายหุ้นออกไป การลงทุนของเขาก็เติบโตเป็น 10,475 เท่าในระยะเวลา 28 ปีหลังจากนั้น หากคิดอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยจะสูงถึง 21% ต่อปี
นอกจากพอร์ตที่ย่ำแย่แล้ว เรื่องนี้ก็ส่งผลต่อชื่อเสียงของ Guerin อีกด้วย
นักลงทุนและหุ้นส่วนหลายคนสูญเสียศรัทธาเช่นเดียวกับ Buffett และ Munger
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้น 2 ปีเขาก็สามารถฟื้นฟูผลตอบแทนกลับมาคืนทุนได้อีกครั้ง
ตั้งแต่ 1965 ถึง 1983 กองทุน Pacific Partners สร้างผลตอบแทนถึง 222 เท่า
คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 33% ต่อปี
แต่ด้วยความที่ Guerin ไม่ได้มีส่วนร่วมใน Berkshire Hathaway อีกต่อไป
นั่นจึงทำให้ชื่อเสียงของเขานั้นค่อย ๆ จางลงและเลือนหายไปในที่สุด
ปิดท้ายด้วยข้อความที่ Buffett เคยกล่าวไว้ว่าตนและ Munger
รู้อยู่เสมอว่าจะกลายเป็นคนที่มั่งคั่งอย่างไม่น่าเชื่อ
พวกเขาจึงไม่รีบร้อนที่จะรวยให้เร็ว
ซึ่งต่างจาก Guerin ที่รีบร้อนเกินไป จึงทำให้เขาพลาดโอกาส ครั้งสำคัญ..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.valuewalk.com/rick-guerin/
-https://www.usatoday.com/story/money/2020/03/21/stock-market-collapse-how-does-todays-compare-others/2890885001/
-https://finance.yahoo.com/news/case-study-fall-rick-guerin-170021290.html
-https://www.lutz.us/nobody-talks-about-rick-anymore/
-https://www.jpguerin.com/obituary
-https://finance.yahoo.com/news/why-warren-buffetts-blue-chip-164748907.html
-หนังสือ Damn Right! Behind the Scenes with Berkshire Hathaway Billionaire Charlie Munger โดย Janet Lowe
ดัชนี คือ 在 TRADERIDER Youtube 的最佳解答
โบรกเกอร์ IC Markets ก่อตั้งขึ้นในปี 2007 ที่ซิดนีย์ประเทศออสเตรเลีย ในด้านของชื่อเสียงนั้นก็ถือได้ว่า โบรกเกอร์ IC Markets เป็นโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียงมากโบรกเกอร์หนึ่ง โดยเฉพาะในเรื่องของความรวดเร็วในการส่งคำสั่งซื้อขาย ที่ค่อนข้างรวดเร็วมาก อีกทั้งในช่วงที่มีข่าวแรงๆก็จะไม่ค่อยมีการถ่างสเปรด กราฟค่อนข้างจะนิ่งและเสถียรมาก ส่วนในเรื่องของค่าสเปรดที่ค่อนข้างจะต่ำมากเช่นกัน ทำให้เทรดเดอร์หรือนักลงทุนชาวไทยหลายๆท่านก็นิยมเปิดบัญชีกับ โบรกเกอร์ IC Markets กันมากพอสมควร
ใบอนุญาต โบรกเกอร์ IC Markets
โบรกเกอร์ IC Markets จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายจากหลากหลายหน่วยงานได้แก่
Australian Securities and Investment Commission (ASIC) ประเทศออสเตรเลีย
Financial Services Business Seychelles (FSA) ประเทศ Seychelles
Cyprus Securities and Exchange Commission (CySEC) ประเทศไซปรัส
แพลตฟอร์มการเทรด โบรกเกอร์ IC Markets
IC Markets ให้บริการซื้อขาย Forex สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี พันธบัตร เงินดิจิตอล หุ้น และฟิวเจอร์ส ผ่านแพลตฟอร์ม MT4 , MT5 และ cTrader อีกทั้งยังรองรับการซื้อขายผ่านทาง webtrader ซึ่งมีทั้ง MT WebTrader และ cTrader Web
ประเภทบัญชีเทรด โบรกเกอร์ IC Markets
IC Markets มีประเภทบัญชีเทรดให้เลือกใช้งานหลักๆทั้งหมด 3 ประเภทดังนี้
1.ประเภทบัญชี cTrader Raw Spread
แพลตฟอร์มซื้อขาย : cTrader
คอมมิชชั่น (ต่อ lot) : $3.0 ($6.0 per lot roundturn)
สเปรด : 0 pips
ฝากเงินขั้นต่ำ : 200$
เลเวอเรจ : 500:1
หมาะสำหรับ: เดย์เทรดเดอร์ & นักเก็งกำไรระยะสั้น
2. ประเภทบัญชี Raw Spread
แพลตฟอร์มซื้อขาย : MetaTrader
คอมมิชชั่น (ต่อ lot) : $3.5 ($7.0 per lot roundturn)
สเปรด : 0 pips
ฝากเงินขั้นต่ำ : 200$
เลเวอเรจ : 500:1
หมาะสำหรับ: EAs & นักเก็งกำไรระยะสั้น
3.ประเภทบัญชี Standard
แพลตฟอร์มซื้อขาย : MetaTrader
คอมมิชชั่น (ต่อ lot) : ไม่มี
สเปรด : 1.0 pips
ฝากเงินขั้นต่ำ : 200$
เลเวอเรจ : 500:1
หมาะสำหรับ: เทรดเดอร์ที่ทำการเทรดด้วยตัวเอง
การฝาก-ถอนเงิน IC Markets
ในส่วนของช่องทางการฝาก-ถอนเงินนั้น IC Markets รองรับการฝาก-ถอนเงินที่ค่อนข้างจะหลากหลายช่องทางมาก แต่ช่องทางที่ชาวไทยนิยมใช้งานกันมากที่สุดก็จะมีช่องทางการฝาก-ถอนผ่านธนาคารไทย , VISA/MASTER CARD , Skrill , Neteller , Paypal และ การโอนเงินระหว่างประเทศ โดยการฝากเงินในครั้งแรกกับทาง IC Markets จะกำหนดขั้นต่ำที่ 200$ แต่การฝากในครั้งต่อๆไปจะไม่จำกัดขั้นต่ำ ในส่วนของการฝากเงินผ่านทางธนาคารไทยจะใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที เงินจึงจะเข้าบัญชีเทรด แต่สำหรับช่องทางอื่นๆเงินจะเข้าบัญชีเทรดในทันที ในส่วนของการถอนเงินอาจจะใช้เวลาประมาณ 1-2 วันกว่าเงินจะเข้าบัญชี สำหรับธนาคารไทยที่รองรับจะมีทั้งหมด 5 ธนาคารคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย และ ธนาคารกรุงศรีฯ
ข้อดี
1.มีความรวดเร็วในการส่งคำสั่งซื้อขายสูงเซิฟเวอร์สเถียรมาก
2.ค่าสเปรดต่ำ
3.รองรับการเทรดหลากหลายแพลตฟอร์ม
4.มีสินค้าให้เลือกเทรดค่อนข้างหลากหลาย
5.เมนูหน้าเว็บเป็นภาษาไทย
6.มีใบอนุญาตจาก ASIC มีความน่าเชื่อถือและความมั่นคงสูง
7.มี PAMM/MAM
ข้อเสีย
1.ไม่มีบัญชี cent
2.ไม่มีโบนัสและโปรโมชั่น
สรุป
โบรกเกอร์ IC Markets เป็นโบรกเกอร์ที่มีความมั่นคงสูง เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ในการเทรดมาบ้างมากกว่าสำหรับมือใหม่ เนื่องจากไม่มีบัญชี cent ให้ฝึกเทรด อีกทั้งยังกำหนดการฝากขั้นต่ำสำหรับการฝากเงินครั้งแรกใว้ที่ 200$ ดังนั้นหากมือใหม่ที่ต้องการจะฝากเงินน้อยๆเพื่อมาทดลองเทรดเงินจริงก็จะไม่เหมาะสักเท่าไหร่ อีกทั้งยังไม่มีโบนัสและโปรโมชั่นใดๆให้ลูกค้า แต่สำหรับเทรดเดอร์หรือนักลงทุนท่านใดที่มีประสบการณ์ในการเทรดมาพอสมควรแล้ว และกำลังมองหาโบรกเกอร์ดีๆที่จะใช้งานไปยาวๆ โบรกเกอร์ IC Markets ถือเป็นโบรกเกอร์ที่จะสามารถตอบโจทย์นั้นได้เป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องของความมั่นคงและค่าสเปรดที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้ในระยะยาวจะช่วยให้สามารถทำกำไรได้มากยิ่งขึ้น
อ่านเพิ่มเติม : https://traderider.com/index.php/topic,23198.0.html
![post-title](https://i.ytimg.com/vi/guuF57QL04M/hqdefault.jpg)
ดัชนี คือ 在 TRADERIDER Youtube 的最佳貼文
โบรกเกอร์ INFINOX ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ลอนดอนประเทศอังกฤษ และยังมีสาขาอยู่ที่ฮ่องกงและบาฮามาสรวมไปถึงอีกมากกว่า 15 ประเทศทั่วโลก โบรกเกอร์INFINOXได้เป็นหุ้นส่วนกับบริษัท Equinox ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำในด้านเทคโนโลยี มีเซิฟเวอร์ที่ดีกว่า จึงทำให้ โบรกเกอร์ INFINOX มีความรวดเร็วในการส่งคำสั่งซื้อขายที่รวดเร็ว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทาง โบรกเกอร์ INFINOX ก็ยังได้รับรางวัลต่างๆมาอย่างมากมายจากหลากหลายหน่วยงาน ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยยืนยันในเรื่องของความเป็นมืออาชีพของโบรกเกอร์
ใบอนุญาต โบรกเกอร์ INFINOX
Infinox Capital (“INFINOX”) หมายเลขใบอนุญาตธุรกิจ 10077880 เป็นชื่อจดทะเบียนภายใต้บริษัท IX Capital Group Limited (‘IXCG’) ได้รับอนุญาตและกำกับดูแลโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์แห่งประเทศบาฮามาส “SCB” เลขทะเบียน SIA F-188
INFINOX Capital Ltd ได้รับอนุญาตและกำกับควบคุมโดย Financial Conduct Authority (FCA) ประเทศอังกฤษภายใต้หมายเลขทะเบียน 501057
แพลตฟอร์มการเทรด โบรกเกอร์INFINOX
โบรกเกอร์ INFINOXให้บริการซื้อขาย Forex , ดัชนี CFDs , สินค้าโภคภัณฑ์และสกุลเงินดิจิทัล ผ่านแพลตฟอร์ม MT4 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เทรดเดอร์และนักลงทุนใช้งานมากที่สุดในโลก โดยรองรับทั้งระบบปฏิบัติการ Windows , macOS , Android , iOS และ Webtrader
อ่านเพิ่มเติม : https://traderider.com/index.php/topic,23098.0.html
![post-title](https://i.ytimg.com/vi/dN5E0Uq4nvs/hqdefault.jpg)
ดัชนี คือ 在 WOODY Youtube 的最讚貼文
ปฎิทินสามศิลป์แผ่นดินล้านนา ที่วาดโดยคุณเจริญ มาบุตร ความพิเศษ ภาพของบุคคลสามท่าน คือ ท่าน ว.วชิรเมธี / อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ / อ.ถวัลย์ ดัชนี ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของจ .เชียงรายไว้ร่วมกันในภาพเดียวกัน จัดพิมพ์แจกปีใหม่ 1๐๐,๐๐๐ ชุดเท่านั้น! สำหรับผู้ที่มาชมเทศกาล 1๐,๐๐๐ โคมล้านนา 1๐๐,๐๐๐ บุปผาบานสะพรั่ง พร้อมบทกวี “นฤมิตชีวิตใหม่” เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 58
ติดตามข่าวร้อน พร้อมเรื่องราวน่าสนใจที่อัพเดตเร็วทันใจ ได้ใน “ตื่นมาคุย” ออกอากาศทุกเช้า วันจันทร์-ศุกร์ 8.00-9.00น. ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี
![post-title](https://i.ytimg.com/vi/KJcsejdqY3I/hqdefault.jpg)
ดัชนี คือ 在 ดัชนี CPI คืออะไร | ตอบโจทย์ | By Thai PBS - Facebook 的推薦與評價
ทุก ๆ ปีจะมีการสำรวจ ดัชนี รับรู้การทุจริต หรือ CPI ซึ่งไทยเป็นหนึ่งใน 180 ประเทศที่ถูกจัดอันดับ ดัชนี CPI คือ อะไร และบ่งบอกอะไรบ้าง ติดตามชมรายการ... ... <看更多>
ดัชนี คือ 在 "ดัชนีหุ้น" คืออะไร? สำคัญยังไง? | Q&A EP.16 的推薦與評價
[Q & A] แฟนเพจถามมา...ศิรัถยา ตอบให้! Q: " ดัชนี หุ้น" คือ อะไร? สำคัญยังไง? หาคำตอบได้ในรายการ 'Q & A' กับ ผู้ริเริ่มแนวคิด 'ใช้แรงทำเงิน ให้เงินทำงาน' เฟิร์น ศิรัถยา ... ... <看更多>