อยากเริ่มวางแผนการเงิน เค้าบอกว่าต้องทำงบการเงิน
แล้วงบการเงิน! นี่มันคืออะไรกันฮะ?
.
“งบการเงินส่วนบุคคล” (Personal Financial Statement) ประกอบด้วยงบการเงินสำคัญ 2 รายการ คือ “งบรายรับรายจ่าย” และ “งบแสดงสถานะการเงิน” ซึ่งเปรียบเหมือนกระดาษ 2 แผ่น ที่ช่วยแสดงให้เห็นถึงสภาพคล่องและความมั่งคั่งของแต่ละบุคคลในช่วงเวลาหนึ่งๆ ได้
.
รายละเอียดของกระดาษ 2 แผ่น (หรือไฟล์ Excel) ที่ว่านี้ มีอะไรบ้าง
.
1.
งบรายรับรายจ่าย คือ รายการแสดงรายรับรายจ่ายของแต่ละบุคคลในแต่ละเดือน จะได้เงินมาจากทางไหน เท่าไหร่ มีเก็บออมเท่าไหร่ และใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง? บ่งบอกถึง “สภาพคล่อง” ทางการเงินของแต่ละบุคคลในแต่ละเดือน
.
รายการที่จะระบุในงบนี้ก็แน่นอนว่า ต้องประกอบด้วย “รายรับ” “เงินออม” “รายจ่าย” และ “เงินคงเหลือ” โดยมีความสัมพันธ์กันเป็นคณิตศาสตร์ง่ายๆ ได้ว่า …
.
“รายรับ - เงินออม - รายจ่าย = เงินคงเหลือ”
.
ซึ่งงบรายรับรายจ่ายนี้ควรทำล่วงหน้าอย่างน้อย 6-12 เดือน เพื่อให้เห็นว่าจะมีรายได้เข้ามาแต่ละเดือนเท่าไหร่ และต้องเตรียมจ่ายไปกับอะไรบ้าง จะได้สามารถวางแผนการเงินล่วงหน้าได้
.
[ถ้าบันทึกรายการหลังจากใช้จ่ายไปแล้ว อันนั้น เรียก “บัญชีรายรับรายจ่าย” (จดสิ่งใช้จ่ายไป)]
.
2.
งบแสดงสถานะทางการเงิน คือ รายการแสดง “ทรัพย์สิน” และ “หนี้สิน” ทั้งหมดที่บุคคลมีอยู่ (บางคนเรียกง่ายๆ ว่า “รายการทรัพย์สิน-หนี้สิน”) ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง บอกถึงระดับความ “มั่งคั่ง” ของบุคคล
.
ตัวอย่างทรัพย์สิน (Assets) ก็เช่น เงินฝาก สลากออมทรัพย์ พันธบัตร หุ้นกู้ ประกันชีวิต กองทุนรวม หุ้น บ้าน รถยนต์ และของมีค่าอื่นๆ ฯลฯ ทั้งหมดที่เราเป็นเจ้าของ
.
ส่วนหนี้สิน (Debts) อันนี้น่าจะรู้จักกันดี หนี้กู้ซื้อบ้าน หนี้กู้ซื้อรถยนต์ หนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล หนี้สหกรณ์ และอื่นๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราติดค้างอยู่ทั้งหมด
.
งบแสดงสถานะทางการเงินควรทำอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อดูทรัพย์สินหนี้สินของเราว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง เพื่อจะได้นำมาวางแผนการเงินกันอีกที
.
ตัวชี้วัดที่บ่งบอกสถานะทางการเงินว่าอยู่ในระดับที่ดีหรือไม่ ก็คือทรัพย์สินสุทธิ หรือ “ความมั่งคั่งสุทธิ” (Net worth) โดยคำนวณจาก มูลค่าทรัพย์สินรวม - หนี้คงค้างรวม ซึ่งควรจะเป็น บวก (+) และบวกเพิ่มขึ้นทุกปี
.
เชื่อว่าถึงตรงนี้ทุกท่านน่าจะพอเห็นรายละเอียดของงบการเงินทั้ง 2 รายการแล้ว ยังไงก็ลองทำกันดูนะครับ จะได้เริ่มวางแผนการเงิน เพื่ออนาคตทางการเงินที่ดีและมีความสุขกันทุกคนครับ
#TheMoneyCoachTH
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過1萬的網紅TRADERIDER,也在其Youtube影片中提到,โบรกเกอร์ IC Markets ก่อตั้งขึ้นในปี 2007 ที่ซิดนีย์ประเทศออสเตรเลีย ในด้านของชื่อเสียงนั้นก็ถือได้ว่า โบรกเกอร์ IC Markets เป็นโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสีย...
「พันธบัตร คือ」的推薦目錄:
- 關於พันธบัตร คือ 在 Money Coach Facebook 的最佳解答
- 關於พันธบัตร คือ 在 Money Coach Facebook 的最佳貼文
- 關於พันธบัตร คือ 在 Money Coach Facebook 的最佳貼文
- 關於พันธบัตร คือ 在 TRADERIDER Youtube 的最佳解答
- 關於พันธบัตร คือ 在 พันธบัตรรัฐบาลคืออะไร น่าซื้อน่าลงทุนหรือเปล่า | เงินทองของจริงEP.49 的評價
- 關於พันธบัตร คือ 在 ลงทุนแมน - พันธบัตรรัฐบาล ฉบับ BNK48 / โดย ลงทุน ... - Facebook 的評價
พันธบัตร คือ 在 Money Coach Facebook 的最佳貼文
ถ้าอยากจัดการเงินให้ประสบความสำเร็จ ต้องรู้จัก 2 คำนี้
.
1) สภาพคล่อง
.
คุณคงเคยเจอบางคนที่หาเงินเก่ง หาเงินได้เยอะ แต่เก็บเงินไม่ค่อยได้ แล้วก็มานั่งสงสัยว่าเงินตัวเองหายไปไหนหมด เพราะบริหารเงินที่หามาไม่ได้ ได้มาเท่าไหร่ก็ใช้หมด ขาดการจัดสรรที่ดี สุดท้ายเหนื่อยแทบตาย แต่ไม่มีเงินเก็บเงินลงทุน เลยไม่ได้ “รวย” กับเขาสักที เพราะขาดสิ่งที่เรียกว่า “สภาพคล่อง”
.
สภาพคล่อง (Liquidity) คือ สภาวะที่มีเงินเพียงพอใช้จ่าย มีเหลือเก็บสม่ำเสมอ (ที่ดีคือ 10% ของรายได้) ถ้ามีไม่พอกิน หรือมีกินมีใช้ แต่ไม่มีเหลือเก็บ แบบนี้เรียกว่า ยังไม่มีสภาพคล่อง และควรต้องรีบแก้ไขให้ชีวิตกลับมามีสภาพคล่องโดยด่วน
.
(หยุดคิดนิดนึงก่อนไปต่อ … ตอนนี้สภาพคล่องทางการเงินของคุณเป็นอย่างไร?)
.
การที่เราไม่มีเงินเหลือเก็บ หรือเงินติดลบไปเรื่อยๆ ในแต่ละเดือน จนแทบจะไม่มีเงินเหลือไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน สิ่งหนึ่งที่จะค่อยๆหดหาย หรือห่างไกลออกไปจากชีวิตของเรา ก็คือ
.
.
2) ความมั่งคั่ง
.
แล้ว “ความมั่งคั่ง” มันคือ อะไรกัน?
.
ความมั่งคั่ง (Wealth) คือ สภาพคล่องที่สะสมและถูกจัดสรรไว้ในทรัพย์สินรูปแบบต่างๆ อาทิ เงินฝาก สลากออมทรัพย์ พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุนรวม หุ้น อสังหาริมทรัพย์ เงินดิจิทัล ฯลฯ
.
ความมั่งคั่ง วัดกันด้วย “ความมั่งคั่งสุทธิ” (Net Worth) ซึ่งคำนวนได้โดยนำปริมาณทรัพย์สินทั้งหมดที่มี ลบออกด้วยหนี้สินทั้งหมดที่ยังคงค้างอยู่ เหลือสุทธิเท่าไหร่ นั่นคือ ความมั่งคั่งที่แท้จริงของเรา
.
คนที่มีสภาพคล่องที่ดี มีกิน มีใช้ มีเหลือเก็บ เดือนนี้มีเหลือเก็บ เดือนต่อไปก็มีเหลือเก็บ เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะเกิดการ “สะสม” หรือ “สั่งสม” ของสภาพคล่อง และพัฒนาตัวเองกลายเป็นผู้ที่มีความมั่งคั่งได้ในที่สุด
.
.
หลายคนอาจคิดว่า คนมีรายได้มากกว่าย่อมมีโอกาสที่จะมั่งคั่งได้ง่ายกว่า ส่วนคนที่มีรายได้น้อยก็คงมั่งคั่งได้ยากกว่า บอกเลยมีความจริงอยู่บ้าง แต่ไม่เสมอไป เพราะคนหาได้เยอะ ใช้เกินที่หาได้ก็มีอยู่ไม่น้อย ส่วนคนหาได้น้อยที่ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง วันหนึ่งก็ถึงจุดที่มั่งคั่งได้เหมือนกัน ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับทัศนคติและวิธีการบริหารจัดการเงินของเรา ว่าจะสามารถจัดการสภาพคล่องและสะสมให้เกิดความมั่งคั่งได้ดีเพียงใด
.
เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการบริหารสภาพคล่องในแต่ละเดือนให้เป็น “บวก” (+) แล้วสะสมต่อเนื่อง หาโอกาสเรียนรู้เรื่องการลงทุนเพื่อต่อยอดและเปลี่ยนสภาพคล่องที่สะสม ให้กลายเป็นความมั่งคั่งในที่สุด
.
ความมั่งคั่งเป็นสิทธิของคนทุกคน ขอเพียงเริ่มเข้าใจพื้นฐานสำคัญของ 2 คำศัพท์นี้ แล้วค่อยๆ ปรับการเงินของตัวเองให้ดีขึ้นทีละน้อย เป็นกำลังใจให้กับผู้มุ่งหวังความสำเร็จทางการเงินทุกคนครับ
#TheMoneyCoachTH
พันธบัตร คือ 在 Money Coach Facebook 的最佳貼文
“พ่อรวยสอนลูก” 2021
ช่วงนี้อยู่บ้าน มีเวลานั่งเปิดอ่านหนังสือเก่าๆ ที่เคยแปล เคยเขียน เล่มหนึ่งที่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานหนังสือของผม ก็คือ Rich Dad Poor Dad หรือ “พ่อรวยสอนลูก” โดย โรเบิร์ต คิโยซากิ
ผ่านเวลา 20 ปี หนังสือเล่มนี้ยังติดอันดับขายดี แถมเนื้อหาก็ยังร่วมสมัย ใช้ได้ไม่ตกยุค ได้เปิดอ่านอีกรอบ เลยอยากสรุปประเด็นที่มองเห็น เมื่อเทียบกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ในมุมมองของตัวเอง เผื่อเป็นประโยชน์กับน้องๆ รุ่นใหม่ที่กำลังเริ่มต้นศึกษาเรื่องเงิน จะได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นอีกสักนิดจากการอ่านหนังสือเล่มนี้
6 บทเรียนของพ่อรวย กับยุค 2021 ในมุมมองผู้แปลและเรียบเรียง
1. คนรวยไม่ทำงานเพื่อเงิน
เอาเข้าจริงข้อนี้หลายคนแปลความผิด คิดว่าคนรวยทำงานไม่มุ่งหวังเงินหรือผลตอบแทน จริงๆ แล้วไม่ใช่นะครับ (เวลาทำงานเราก็ควรได้ผลตอบแทนสมน้ำสมเนื้อกับเนื้องานนั่นแหละ) แต่คำว่า คนรวยไม่ทำงานเพื่อเงิน ในที่นี้หมายถึง “คนรวยไม่ติดพันธนาการทางการเงิน” ต่างหาก
ซึ่งพันธนาการที่สำคัญที่สุด ก็คือ การเป็นหนี้จน หนี้ที่ทำเราต้องเหนื่อย ต้องดิ้นรน เพราะเป็นหนี้ที่ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้ และเมื่อไหร่ที่เราติดกับดักหนี้พวกนี้ เราจะคิดถึงแต่ “เงิน” ทำอะไรก็ต้องเอาเงินเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เงินไม่ทำ ได้น้อยไม่ทำ (ขยันเพราะหนี้เยอะ กับขยันเพราะอยากสร้างชีวิตให้มั่นคงเร็วๆ ไม่เหมือนกัน)
คนเราเมื่อมี “หนี้” เป็นพันธนาการ วิสัยทัศน์การเงินจะสั้นลง เหลือแค่ไม่เกิน 30 วัน เพราะครบเดือนก็จะถูกติดตามทวงถามกันอีกแล้ว ก็เลยฝันไปไกลหรือคิดไปไกลกว่านั้นไม่ได้ สถานการณ์หนี้ครัวเรือนบ้านเราที่แตะระดับ 90% คือ อันตรายที่บอกเราว่า คนจำนวนไม่น้อยกำลังตกอยู่ในสภาวะแบบนี้
ถ้าคุณไม่มีหนี้ หรือมีภาระหนี้ในระดับที่ควบคุมได้ (กระแสเงินสดต่อเดือนยังเป็นบวก) คุณจะไม่ติดกับดักความคิดเรื่องเงิน และมีโอกาสต่อยอดไปได้ไกลและได้เร็วกว่า ดังนั้นหมั่นควบคุมระดับหนี้ให้ดี อย่าให้เงินผ่อนชำระหนี้ต่อเดือน (DSR) สูงเงินไปนะครับ
2. แยกให้ออกว่าอะไร คือ “ทรัพย์สิน” อะไร คือ “หนี้สิน”
คนที่อ่านหนังสือพ่อรวยสอนลูก จะท่องได้เหมือนกันหมด “ทรัพย์สิน” คือ สิ่งที่ทำให้เงินไหลเข้ากระเป๋า “หนี้สิน” คือ สิ่งที่ทำให้เงินไหลออกจากกระเป๋า ซึ่งหลักคิดนี้ก็ยังใช้ได้จนถึงปัจจุบันนะ ไม่ล้าสมัย
คำถามสำคัญ คือ ท่องได้แล้วเราเคยสังเกตการจัดเงินของตัวเองหรือเปล่าว่า แต่ละวันเงินที่เราหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงนั้น จ่ายไปกับอะไรบ้าง มีไหลไปสะสมเป็นทรัพย์สินบ้างหรือเปล่า หรือส่วนใหญ่จ่ายไปกับค่าใช้จ่าย (ใช้แล้วหมดไป) และหนี้สิน (ใช้แล้วเป็นภาระระยะยาว)
(ทรัพย์สินได้แก่อะไรบ้าง เงินฝาก สลากออมทรัพย์ พันธบัตร หุ้นกู้ หุ้นสหกรณ์ หุ้น ทองคำ กองทุนรวม อสังหาฯ ธุรกิจที่เราไม่ต้องลงมือทำ ลิขสิทธิ์ เหรียญดิจิทัล ฯลฯ)
จะดูว่าคนเราแยกออกไหม ว่าอะไรเป็นทรัพย์สิน-หนี้สิน อาจดูได้จาก อัตราส่วนเงินออมเงินลงทุน ของเขาก็ได้ ว่ามีมากน้อยแค่ไหน ถ้าเดือนหนึ่งหาเงินได้ 100 บาท จ่ายให้ตัวเอง (Pay Yourself) โดยการนำไปออมและลงทุน เกิน 10 บาท อันนี้ถือว่าเข้าใจจริง เพราะนำไปปฏิบัติสม่ำเสมอ (ถ้าถึงระดับ 20% ได้จะเฟี้ยวมาก)
แต่ถ้าออมและลงทุนได้ไม่ถึง 10% ของรายได้ที่หาได้ อันนี้เรียก ทฤษฎีแน่น ปฏิบัตินุ่มนิ่ม ผลลัพธ์ไม่ต้องบอกก็รู้กัน
นอกจากนี้ทุกปี เราอาจลองคำนวณหา ความมั่งคั่งสุทธิ (Net Worth) โดยนำทรัพย์สินรวมทั้งหมดที่มี ลบออกด้วยหนี้สินทั้งหมดในชื่อเราดู ว่าผลลัพธ์สุดท้ายเป็นบวกมั้ย และบวกเพิ่มขึ้นทุกปีหรือเปล่า ถ้าความมั่งคั่งสุทธิเป็นบวก และบวกเพิ่มขึ้นทุกปี อันนี้ถือว่ามีแววครับ
3. สร้างธุรกิจของตัวเอง
ในบทเรียนที่ 3 นี้ เอาเข้าจริงไม่ได้หมายความว่า ให้ทุกคนสร้างธุรกิจของตัวเองหรอกนะครับ ผมคุยกับโรเบิร์ตตอนแปลหนังสือ แกบอกว่าสังเกตดูสิ “ทรัพย์สิน” ทุกอย่างก็อยู่ในรูปธุรกิจทั้งหมดนั่นแหละ ธุรกิจทั่วไปแน่นอนว่าเป็นธุรกิจอันนี้ชัด อสังหาฯให้เช่า ก็คือ ธุรกิจจัดหาที่พักให้แก่ผู้คน ลิขสิทธิ์หนังสือ ก็ถูกนำมาจัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในธุรกิจส่ิงพิมพ์ หรืออย่างในปัจจุบัน วิดีโอที่ Youtuber อัพโหลดกัน (เป็นทรัพย์สิน) ก็อยู่ในธุรกิจโฆษณา
ดังนั้นถ้าคุยสะสมอะไรที่มีมูลค่าเพิ่ม หรือให้กระแสเงินสดได้ ก็มองเป็น “ธุรกิจ” ได้ (ฝากเงินธนาคาร ก็เหมือนเราทำธุรกิจสินเชื่อเหมือนกันนะ!)
แต่ถ้าเราสร้างธุรกิจขึ้นมาได้เองจริงๆ อันนี้ก็ถือว่า “โคตรเฟี้ยว”
อย่างไรก็ดี โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยแนะนำใครให้ลาออกจากงานมาลุยงานประจำเลยนะครับ เพราะมันมีความเสี่ยงมาก ที่จะแนะนำคือ ให้เร่ิมสร้างงานที่ 2 อาชีพที่ 3 ธุรกิจที่ 4 เริ่มทำจากเล็กๆ ลองผิดลองถูกในระดับความเสี่ยงที่พอรับได้ก่อน แล้วค่อยๆ พัฒนาระบบของกิจการไป สร้างรายได้หลายทางแบบ Multi-Income Stream จนธุรกิจของเราเริ่มเป็น “ทรัพย์สิน” และเมื่อรายได้ทางที่ 2, 3 และ 4 ของเราเริ่มใกล้เคียงกับงานประจำ ค่อยพิจารณากันอีกที
ทั้งนี้การสร้างธุรกิจของตัวเอง (งานฟรีแลนซ์ต่างๆ นี่ก็ใช่นะ) กับโจทย์โลกการเงินในยุคปัจจุบัน อาจไม่ได้มองแค่เรื่องอยากรวยเร็ว แต่ผมมองเรื่อง “ความมั่นคง” ทางรายได้ ที่ในยุคนี้มีความเสี่ยงจากแต่ก่อนมาก การมีงาน 2,3,4 หรือมีธุรกิจตัวเองไว้ควบคู่ไปด้วย เป็นตัวช่วยทำให้เราสามารถ “ควบคุม” อนาคตทางการเงินของตัวเองได้ (เหมือนที่โรเบิร์ตชอบพูด Control Your Financial Future) โดยไม่ต้องขึ้นกับคนอื่น เป็นสิ่งที่ “ต้องทำ” (a must) ไม่ใช่ “ควรทำ” อีกต่อไปแล้วครับ
4. เข้าใจเรื่องภาษี
“ภาษี” คือ รายจ่ายที่ใหญ่ที่สุดตัวหนึ่งของชีวิต ยิ่งคุณมีรายได้เยอะ มีทรัพย์สินเยอะ คุณจะเข้าใจความหมายของประโยคนี้ได้ดี
***แต่ช้าก่อน ผมไม่ได้บอกหรือพูดว่า คนรายได้น้อยไม่ได้เสียภาษีนะ (อย่าคิดไปเองสิ) เพราะคนเราเสียภาษีกันทุกคน อย่างน้อยก็ภาษีจากการบริโภค อย่างภาษีมูลค่าเพิ่ม
ไม่ว่าอย่างไร คนเราไม่ควรหลีกเลี่ยงหรือหนีภาษี เพราะนั่นเป็นเรื่องผิดกฎหมาย สิ่งที่เราควรทำ คือ การศึกษาข้อกำหนดและกฎหมายภาษี ที่เกี่ยวข้องกับ “ตัวเรา” เพื่อเราสามารถวางแผนภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย (ย้ำ! ถูกต้องตามกฎหมาย)
หลายคนอ่านหนังสือพ่อรวยสอนลูก แล้วตีความไปว่า ควรเปิดบริษัท เพราะประหยัดภาษีกว่า อันนี้บอกเลยว่าไม่แน่นะครับ ที่ดีคือ เราควรคำนวณภาษีให้เป็น แล้ววางแผนดีกว่าไปยึดอะไรเป็นหลักตายตัวแบบนั้น
ข้อนี้ไม่มีอะไรจะแนะนำมากไปกว่า จงเรียนรู้และเข้าใจภาษีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเรา (ฐานบริโภค ฐานรายได้ และฐานทรัพย์สิน) คิดคำนวณภาษีและวางแผนภาษีตัวเองให้เป็น ไม่ว่าจะคุณจะทำงานประจำ ทำงานฟรีแลนซ์ หรือเป็นเจ้าของกิจการ เพื่อให้สามารถประหยัดภาษีและลดรายจ่ายได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพราะมันคือ “สิทธิ” ที่คุณพึงได้ครับ
5 คนรวยสร้างเงินได้เอง
ต้นฉบับภาษาอังกฤษใช้คำว่า “The Rich Invent Money” ผมก็ไม่กล้าแปล Invent ว่า “ประดิษฐ์” (ออกแนวพิมพ์แบงค์) กลัวมีปัญหา 555 จะให้ใช้คำว่า “คิดค้น” ก็ออกแนววิทยาศาสตร์ไป หัวใจสำคัญของบทเรียนนี้ ก็คือ คนรวยสร้างเงินจาก “ไอเดีย” ได้นั่นเอง
โดยโรเบิร์ตเน้นในหนังสือว่า คนที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวให้มั่งคั่ง ต้องรู้จักวิธีแปลง “ไอเดีย” ให้เป็น “ธุรกิจ” ที่ทำเงินให้ตัวเอง โดยใช้เงินตัวเองไม่มาก หรือไม่ใช้เงินตัวเองเลย (ในหนังสือใช้คำว่า “พลังทวี” หรือ Leverage)
ซึ่งการใช้ Leverage ที่ว่านี้ ก็มีอยู่หลากหลายวิธี ตั้งแต่วิธีดั่งเดิมอย่างการใช้สินเชื่อสถาบันการเงิน การเข้าหุ้นส่วน การหยิบยืมคนใกล้ตัว (พ่อแม่ลงทุนให้) การใช้สิทธิส่งเสริมจากภาครัฐ (Grant) กลุ่มทุนร่วมลงทุน (Venture Capital) การระดุมทุนผ่านประชาชนอย่าง Crowd Funding และปัจจุบันที่ไปถึงการใช้พลังทวีจากเหรียญดิจิทัลแล้ว
เข้าสู่ปี 2021 การ Leverage อาจไม่ใช่การใช้พลังทวีจากเงินทุนอย่างเดียวก็ได้ เพราะบางครั้งธุรกิจก็สามารถขยายกิจการด้วยกำไรของตัวเอง ดังนั้น เครื่องมืออีกตัวที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโต ก็คือ พลังทวีจากการตลาด (Marketing Leverage) อย่างโซเชียลมีเดีย และเครื่องมือออนไลน์อื่นๆ อีกมาย
ทั้งหมดทั้งมวลเริ่มจากจุดเริ่มต้นในข้อที่ 3 ก็คือ เริ่มสร้างงาน อาชีพ หรือธุรกิจ เพื่อเป็นแหล่งรายได้ที่ 2, 3 และ 4 แล้วค่อยๆต่อยอดไป คิด-ลงมือทำ-เรียนรู้ เพื่อพัฒนาเครื่องผลิตเงิน (ธุรกิจ) ของเรา ให้เติบโตและสามารถเลี้ยงดูค่าใช้จ่ายเราได้ โดยพักจากการทำงานได้บ้าง (มีอิสรภาพการเงิน)
6. คนรวยทำงานเพื่อเรียนรู้
ข้อนี้คนก็ตีความและเข้าใจผิดไปเยอะนะครับ ทำงานเพื่อ “เรียนรู้” ในที่นี้ ไม่ได้หมายความ เรียนเยอะเรียนแยะ เรียนกันจัง แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำให้ “ทรัพย์สิน” เติบโต จริงอยู่ว่าการพัฒนาตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ต้องมี “ทิศทาง” ที่ถูกต้องด้วย
ถ้าคุณเป็นนักลงทุน สิ่งที่คุณจะต้องเรียนรู้ ก็คือ หลักและวิธีการลงทุน ความเข้าใจในทรัพย์สินที่เลือกลงทุน ธรรมชาติของตลาด
แต่ถ้าคุณทำธุรกิจ ทักษะที่จำเป็นต่อความสำเร็จ (สังเกตใช้คำว่า “ทักษะ” เพราะมากกว่าแค่ “รู้” แต่ต้อง “ทำได้”) ก็คือ 1) การขายและการตลาด 2) การบริหารกระแสเงินสด 3) การจัดการระบบ (Operation) และ 4) การบริหารบุคลากร
ทุกครั้งที่จะศึกษาอะไร ตอบคำถามตัวเองเพื่อเช็คทิศทางก็ดีครับ ว่าสิ่งที่เราเรียนจะ “ช่วยให้ธุรกิจและการลงทุนของเราดีขึ้นได้อย่างไร?” จะได้โฟกัสกับการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ก่อน และไม่ทำให้การเรียนรู้สะเปะสะปะเกินไป
นอกจากสิ่งที่เรียนรู้แล้ว วิธีการเรียนรู้ (How to Learn) ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก โรเบิร์ตจะเน้นเรื่องของการ “ลงมือทำ” เรียนรู้จากประสบการณ์จริง การแก้ปัญหาจริงเป็นสำคัญ และนำไปสู่ทัศนคติต่อการเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยม ที่ผมเองก็ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน นั่นคือ “เมื่อเจอปัญหา จงรู้ไว้เลยว่า นั่นคือโอกาสที่จะช่วยให้เราเก่งขึ้น”
ปัญหา --> แก้ปัญหา --> ทักษะในด้านนั้นที่สูงขึ้น
ปัญหาการเงิน ---> ลงมือแก้ปัญหา ---> ความฉลาดทางการเงินที่สูงขึ้น ---> จัดการเรื่องเงินได้ดีขึ้น
และหมุนเป็นวงจรเรียนรู้ไปไม่มีวันจบสิ้น เหมือนที่วันนี้ผ่านมา 20 ปีเศษแล้ว ผมก็ยังต้องเรียนรู้เรื่องทรัพย์สินใหม่ๆ การเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่บนโลกเราเสมอ (เด็กรุ่นใหม่เก่งกันจังวุ้ย)
หวังว่าบทสรุปจากการนั่งอ่านหนังสือ Rich Dad Poor Dad หรือพ่อรวยสอนลูกอีกรอบ และเล่ามุมมองกับโลกที่หมุนไปเร็วเหลือเกินในฐานะผู้แปล จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านบ้าง ไม่มากก็น้อย
#TheMoneyCoachTH
พันธบัตร คือ 在 TRADERIDER Youtube 的最佳解答
โบรกเกอร์ IC Markets ก่อตั้งขึ้นในปี 2007 ที่ซิดนีย์ประเทศออสเตรเลีย ในด้านของชื่อเสียงนั้นก็ถือได้ว่า โบรกเกอร์ IC Markets เป็นโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียงมากโบรกเกอร์หนึ่ง โดยเฉพาะในเรื่องของความรวดเร็วในการส่งคำสั่งซื้อขาย ที่ค่อนข้างรวดเร็วมาก อีกทั้งในช่วงที่มีข่าวแรงๆก็จะไม่ค่อยมีการถ่างสเปรด กราฟค่อนข้างจะนิ่งและเสถียรมาก ส่วนในเรื่องของค่าสเปรดที่ค่อนข้างจะต่ำมากเช่นกัน ทำให้เทรดเดอร์หรือนักลงทุนชาวไทยหลายๆท่านก็นิยมเปิดบัญชีกับ โบรกเกอร์ IC Markets กันมากพอสมควร
ใบอนุญาต โบรกเกอร์ IC Markets
โบรกเกอร์ IC Markets จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายจากหลากหลายหน่วยงานได้แก่
Australian Securities and Investment Commission (ASIC) ประเทศออสเตรเลีย
Financial Services Business Seychelles (FSA) ประเทศ Seychelles
Cyprus Securities and Exchange Commission (CySEC) ประเทศไซปรัส
แพลตฟอร์มการเทรด โบรกเกอร์ IC Markets
IC Markets ให้บริการซื้อขาย Forex สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี พันธบัตร เงินดิจิตอล หุ้น และฟิวเจอร์ส ผ่านแพลตฟอร์ม MT4 , MT5 และ cTrader อีกทั้งยังรองรับการซื้อขายผ่านทาง webtrader ซึ่งมีทั้ง MT WebTrader และ cTrader Web
ประเภทบัญชีเทรด โบรกเกอร์ IC Markets
IC Markets มีประเภทบัญชีเทรดให้เลือกใช้งานหลักๆทั้งหมด 3 ประเภทดังนี้
1.ประเภทบัญชี cTrader Raw Spread
แพลตฟอร์มซื้อขาย : cTrader
คอมมิชชั่น (ต่อ lot) : $3.0 ($6.0 per lot roundturn)
สเปรด : 0 pips
ฝากเงินขั้นต่ำ : 200$
เลเวอเรจ : 500:1
หมาะสำหรับ: เดย์เทรดเดอร์ & นักเก็งกำไรระยะสั้น
2. ประเภทบัญชี Raw Spread
แพลตฟอร์มซื้อขาย : MetaTrader
คอมมิชชั่น (ต่อ lot) : $3.5 ($7.0 per lot roundturn)
สเปรด : 0 pips
ฝากเงินขั้นต่ำ : 200$
เลเวอเรจ : 500:1
หมาะสำหรับ: EAs & นักเก็งกำไรระยะสั้น
3.ประเภทบัญชี Standard
แพลตฟอร์มซื้อขาย : MetaTrader
คอมมิชชั่น (ต่อ lot) : ไม่มี
สเปรด : 1.0 pips
ฝากเงินขั้นต่ำ : 200$
เลเวอเรจ : 500:1
หมาะสำหรับ: เทรดเดอร์ที่ทำการเทรดด้วยตัวเอง
การฝาก-ถอนเงิน IC Markets
ในส่วนของช่องทางการฝาก-ถอนเงินนั้น IC Markets รองรับการฝาก-ถอนเงินที่ค่อนข้างจะหลากหลายช่องทางมาก แต่ช่องทางที่ชาวไทยนิยมใช้งานกันมากที่สุดก็จะมีช่องทางการฝาก-ถอนผ่านธนาคารไทย , VISA/MASTER CARD , Skrill , Neteller , Paypal และ การโอนเงินระหว่างประเทศ โดยการฝากเงินในครั้งแรกกับทาง IC Markets จะกำหนดขั้นต่ำที่ 200$ แต่การฝากในครั้งต่อๆไปจะไม่จำกัดขั้นต่ำ ในส่วนของการฝากเงินผ่านทางธนาคารไทยจะใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที เงินจึงจะเข้าบัญชีเทรด แต่สำหรับช่องทางอื่นๆเงินจะเข้าบัญชีเทรดในทันที ในส่วนของการถอนเงินอาจจะใช้เวลาประมาณ 1-2 วันกว่าเงินจะเข้าบัญชี สำหรับธนาคารไทยที่รองรับจะมีทั้งหมด 5 ธนาคารคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย และ ธนาคารกรุงศรีฯ
ข้อดี
1.มีความรวดเร็วในการส่งคำสั่งซื้อขายสูงเซิฟเวอร์สเถียรมาก
2.ค่าสเปรดต่ำ
3.รองรับการเทรดหลากหลายแพลตฟอร์ม
4.มีสินค้าให้เลือกเทรดค่อนข้างหลากหลาย
5.เมนูหน้าเว็บเป็นภาษาไทย
6.มีใบอนุญาตจาก ASIC มีความน่าเชื่อถือและความมั่นคงสูง
7.มี PAMM/MAM
ข้อเสีย
1.ไม่มีบัญชี cent
2.ไม่มีโบนัสและโปรโมชั่น
สรุป
โบรกเกอร์ IC Markets เป็นโบรกเกอร์ที่มีความมั่นคงสูง เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ในการเทรดมาบ้างมากกว่าสำหรับมือใหม่ เนื่องจากไม่มีบัญชี cent ให้ฝึกเทรด อีกทั้งยังกำหนดการฝากขั้นต่ำสำหรับการฝากเงินครั้งแรกใว้ที่ 200$ ดังนั้นหากมือใหม่ที่ต้องการจะฝากเงินน้อยๆเพื่อมาทดลองเทรดเงินจริงก็จะไม่เหมาะสักเท่าไหร่ อีกทั้งยังไม่มีโบนัสและโปรโมชั่นใดๆให้ลูกค้า แต่สำหรับเทรดเดอร์หรือนักลงทุนท่านใดที่มีประสบการณ์ในการเทรดมาพอสมควรแล้ว และกำลังมองหาโบรกเกอร์ดีๆที่จะใช้งานไปยาวๆ โบรกเกอร์ IC Markets ถือเป็นโบรกเกอร์ที่จะสามารถตอบโจทย์นั้นได้เป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องของความมั่นคงและค่าสเปรดที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้ในระยะยาวจะช่วยให้สามารถทำกำไรได้มากยิ่งขึ้น
อ่านเพิ่มเติม : https://traderider.com/index.php/topic,23198.0.html
พันธบัตร คือ 在 ลงทุนแมน - พันธบัตรรัฐบาล ฉบับ BNK48 / โดย ลงทุน ... - Facebook 的推薦與評價
เหตุใดประเทศที่ดูจะมีทรัพยากรมากกว่าอย่างฝรั่งเศส จึงไม่สามารถพิชิตประเทศที่ดูเล็กกว่ามากอย่างอังกฤษลงได้อ ย่างเด็ดขาดเสียที คำตอบนั้นคือ “การระดมทุน ... ... <看更多>
พันธบัตร คือ 在 พันธบัตรรัฐบาลคืออะไร น่าซื้อน่าลงทุนหรือเปล่า | เงินทองของจริงEP.49 的推薦與評價
พันธบัตร รัฐบาล คือ อะไร ทำไมรัฐบาลต้องออก พันธบัตร พันธบัตร รัฐบาลน่าลงทุนไหม เหมาะสมกับใคร และซื้ออย่างไรรายการ 'เงินทองของจริง' ... ... <看更多>